ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง
“การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” (government of the people, by the people, and for the people) นี่คือคำกล่าวอันเลืองลั่นของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) ในการให้นิยามความหมายของประชาธิปไตย ซึ่งในปัจจุบันได้รับการยอมรับ และถูกนำไปใช้อ้างอิงอย่างกว้างขวาง
การปกครองระบอบประชาธิปไตย (Democracy) เป็นหนึ่งในการปกครองที่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศให้ใช้เป็นระบอบการปกครองหลักของโลกยุคปัจจุบัน โดยความจริงแล้วระบอบการปกครองที่รู้จักและยังใช้อยู่ขณะนี้แบ่งได้เป็น 2 แบบ นั่นก็คือ แบบประชาธิปไตย และคู่ตรงข้ามคือ แบบเผด็จการ ซึ่งวิธีแยกง่ายๆคือ มองไปที่อำนาจอธิปไตยว่าอยู่ที่ใคร หากอยู่ที่ตัวบุคคลเดียว หรือกลุ่มคน คือ เผด็จการ แต่หากอยู่ที่ประชาชน เรียกว่า ประชาธิปไตย
ความหมายของประชาธิปไตยคือ “อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน” โดยที่ประชาชนจะใช้อำนาจนั้น ทำหน้าที่บริหารประเทศโดยตรง หรือที่เรียกว่า ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) แต่ในปัจจุบันเราไม่สามารถให้ประชาชนทุกคนเข้ามาอยู่ในสภาได้ ดังนั้นจึงเกิดแนวคิด ประชาธิปไตยทางอ้อม (Indirect Democracy) ขึ้น โดยให้ประชาชนเลือกผู้แทนของตนไปใช้อำนาจในการบริหารประเทศต่อไป
หลักการสำคัญ
- การแบ่งแยกอำนาจ แบ่งออกเป็น 3 อำนาจ คือ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
- อำนาจอธิปไตยโดยปวงชน โดยที่ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง นอกเหนือจากการเลือกตั้ง อาทิ การลงประชามติ การแสดงความเห็นคัดค้านรัฐบาล เป็นต้น
- หลักสิทธิและเสรีภาพ ในการจะทำอะไรก็ได้ตามกฏหมาย และไม่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นเช่นกัน
- หลักความเสมอภาค เชื่อว่าทุกคนมีความเท่าเทียมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน
- หลักนิติธรรม คือการยึดถือกฏหมายที่ชอบธรรม เป็นสำคัญในการปกครองประเทศ
ในการจำแนกรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย สามารถจำแนกผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยแบ่งออกมา ได้ 2 แบบ คือ
ประชาธิปไตยทางตรง โดยที่ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศในสภาได้ด้วยตัวเองประชาธิปไตยทางอ้อม หรือระบบตัวแทน โดยประชาชนลงคะแนนจะเลือกตัวแทนของตนเข้าไปมีส่วนร่วมในสภา ในที่นี้จะขอกล่าวถึงประชาธิปไตยทางอ้อม ซึ่งเป็นระบบการเมืองในยุคปัจจุบัน สามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีก 3 แบบคือแบบรัฐสภา แบบประธานาธิบดี และแบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี
แบบรัฐสภา (Parliamentary System)
ต้นแบบคือ ประเทศอังกฤษ เป็นการปกครองที่มีรัฐสภาเป็นศูนย์กลางของอำนาจ ประชาชนจะต้องเลือกตั้งผู้แทนเข้าไปในรัฐสภาก่อน และรัฐสภาจึงทำการเลือกรัฐบาลต่อไป โดยในระบบรัฐสภานี้ ผู้นำรัฐบาลจะไม่ใช่ประมุขของรัฐ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็คือการเลือกตั้งของไทย โดยที่ประชาชนเลือกผู้แทน (ส.ส.) เลือกรัฐบาล (นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี) โดยที่ประมุขของรัฐ อาจเป็น พระมหากษัตริย์ หรือประธานาธิบดีก็ได้
หลักการสำคัญ
- อำนาจสูงสุดเป็นของรัฐสภา
- ไม่มีการแบ่งแยกอำนาจบริหาร ออกจากฝ่ายนิติบัญญัติออกจากกัน รัฐบาลจะบริหารงานภายใต้การกำกับของรัฐสภา
- อำนาจตุลาการ เป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร แต่ก็ทำหน้าที่โดยไม่ขัดกับกฏหมายที่ออกโดยรัฐสภา
แบบประธานาธิบดี (Presidential System)
ระบอบนี้ริเริ่มมากจากประเทศสหรัฐอเมริกา หัวใจสำคัญคือ ประธานาธิบดีจะเป็นอิสระจากรัฐสภา ตัวประธานาธิบดีจะเป็นประมุขของรัฐและผู้นำรัฐบาลด้วย เนื่องจากประชาชนเป็นผู้เลือกตัวประธานาธิบดีเองและตัวประธานาธิบดีจะอยู่ในตำแหน่งจนครบวาระโดยไม่มี
การยุบสภา
หลักการสำคัญ
- อำนาจสูงสุดในการบริหารอยู่ที่ประธานาธิบดี
- การแบ่งแยกอำนาจ โดยที่อำนาจนิติบัญญัติ ได้แก่ รัฐสภา อำนาจบริหาร ได้แก่ ประธานาธิบดี ประธานาธิบดีมีอำนาจเป็นอิสระจากรัฐสภา สถาบันตุลาการก็เป็นอิสระ
- การคานอำนาจ (Balance of Power) รัฐสภามีอำนาจในการร่างกฏหมาย แต่ประธานาธิบดี มีหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบ ในฐานะประมุขของประเทศเสมือนพระมหากษัตริย์ที่ลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติ
ความแตกต่างระหว่างระบบรัฐสภาและระบบประธานาธิบดีจะแตกต่างกัน 2 ประการหลักคือ
ระบอบรัฐสภาจำรวมศูนย์อำนาจที่รัฐสภา ส่วนระบอบประธานาธิบดีมีการแยก และคานอำนาจของนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
ระบอบรัฐสภาจะแยกตำแหน่งประมุข ออกจากตำแหน่งผู้นำรัฐบาล ส่วนระบอบประธานาธิบดีควบสองตำแหน่งนี้ไว้ด้วยกัน
หลายคนมักสับสนในกรณีที่ในประเทศมีรัฐสภาและมีประธานาธิบดีเป็นประมุข เช่น อินเดีย สิงคโปร์ กรณีนี้ให้มองไปที่ตัวรัฐบาลว่าเป็นแบบไหน มีนายกรัฐมนตรีหรือไม่? อำนาจในการบริหารประเทศอยู่ที่ใคร? เช่น หากอำนาจในการบริหารอยู่ที่นายกรัฐมนตรี แปลว่าเป็นการปกครองแบบรัฐสภา เป็นต้น
แบบกึ่งประธานาธิบดี (Semi-Presidential System) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ระบอบกึ่งรัฐสภา (Semi-Parliamentary System)
ระบบลูกผสมระหว่างรัฐสภาและประธานาธิบดี ซึ่งในความจริงแล้ว ก็คือระบอบประธานาธิบดีที่ได้รับการอัพเกรดมาแล้วนั่นเอง ระบอบนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศส ประธานาธิบดีจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ส่วนคณะรัฐมนตรีจะมาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดี
หลักการสำคัญ
- ประธานาธิบดียังคงมีอำนาจสูงสุด และเป็นอิสระจากรัฐสภา
- ในขณะที่ นายกรัฐมนตรี (ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี) ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อสภา รัฐสภาสามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้
- แยกอำนาจทางการเมืองและอำนาจในการบริหาร กล่าวคือ ประธานาธิบดีมีอำนาจในทางการเมือง และนายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการบริหาร แต่อำนาจในการลงนามตัดสินใจยังคงอยู่ที่ประธานาธิบดี
ข้อจำกัดของระบอบประชาธิปไตย
- มีความล่าช้าในการตัดสินใจ เพราะมีกระบวนการมาก
- เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการมาก อาทิ การเลือกตั้งผู้แทนหรือการเลือกลงประชามติ เป็นต้น
- ประชาชนอาจใช้สิทธิและเสรีภาพนอกเหนือจาก
กรอบของกฏหมาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในรัฐ - ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้งความเข้าใจสับสนอย่างหนึ่งของคนคือ ขอเพียงแค่มีการเลือกตั้ง ก็เป็นประชาธิปไตยแล้ว
จริงอยู่ที่ “การเลือกตั้ง” นั้นเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการแสดงถึงอำนาจของประชาชนในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นการที่ประชาชนได้ใช้อำนาจของตนนั้น เลือกผู้แทนตัวเอง เข้าไปนั่งในสภาเเพื่อบริหารประเทศ แต่ทว่าหากมองในมุมกว้างจะพบว่า ลำพังเพียงแค่การเลือกตั้งนั้นก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือประเทศเกาหลีเหนือ หรืออีกชื่อคือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ที่หลายๆคนทราบดีว่าเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จที่เหลืออยู่เพียงประเทศเดียวของโลก ยังมีการจัดให้มีการเลือกตั้ง โดยการเลือกตั้งที่ว่านั้น มีผู้สมัครเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านคิมนั่นเอง และแน่นอนผลที่ออกมาก็คือ 100% ของคะแนนก็ตกเป็นของท่านคิม เราสามารถเรียกการเลือกตั้งแบบนี้ว่าเป็นประชาธิปไตยได้หรือ ?
สรุปให้เห็นว่า เราไม่สามารถนับว่าการปกครองที่มีการเลือกตั้งเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยได้ หากขาดการให้สิทธิในการแสดงความคิดเห็น การวิพากษ์วิจารณ์ และรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชน อาจกล่าวได้ว่า หัวใจสำคัญของประชาธิปไตย นั่นคือ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนนั่นเอง
ใครว่าเผด็จการไม่มีรัฐธรรมนูญ
เมื่อมีการปกครองที่ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของอำนาจอย่างประชาธิปไตย แน่นอนว่าก็ต้องมีระบอบการปกครองขั้วตรงข้ามของมันเช่นกัน อย่างที่รู้กันว่าหากเป็นประชาธิปไตยอำนาจจะอยู่คนจำนวนมาก แต่หากเมื่อไหร่กระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มเดียวแล้ว เราจะเรียกการปกครองแบบนี้ว่า “ระบอบเผด็จการ” นั่นเอง
การปกครองระบอบเผด็จการเป็นระบอบการปกครองที่อำนาจในการบริหารประเทศอยู่ที่คนคนเดียว หรือคณะบุคคลกลุ่มเดียว ไม่มีการเปลี่ยนมือให้กับคนนอกกลุ่ม และกลุ่มคนเหล่านั้นสามารถใช้อำนาจนั้นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้ (โดยเฉพาะประเด็นทางการเมือง) หากใครฝ่าฝืน มักจะถูกลงโทษ
หลักการสำคัญของระบอบเผด็จการ
- ให้ความสำคัญไปที่อำนาจของรัฐ ผู้นำ มากกว่าสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
- ลัทธิเผด็จการเชื่อว่าคนไม่เท่าเทียมกันมาตั้งแต่แรก ทั้งชาติกำเนิด การศึกษา ส่งผลให้ระบอบนี้มักจะแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่มคือ ชนชั้นนำที่เกิดมาเพียบพร้อม และ ประชาชนทั่วไป
- ประชาชนทั่วไปนั้น ไร้ความสามารถในการปกครอง ดังนั้นรัฐจึงต้องเป็นผู้ทำหน้าที่จัดระเบียบเหล่านั้น ให้การปกครองบ้านเมืองดำเนินไปอย่างสำเร็จลุล่วง ประชาชนมีหน้าที่เพียงทำตามที่รัฐบอกเท่านั้น
- ความเห็นที่แตกต่างของประชาชน จะทำให้บ้านเมืองขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และนำมาซึ่งความวุ่นวายในภายหลัง
รูปแบบของเผด็จการ
ระบอบผเด็จการสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบ
เผด็จการทหาร (military dictatorship)
อำนาจอยู่ที่คณะผู้นำฝ่ายทหาร โดยปกติการเกิดขึ้นของเผด็จการทหาร มักเกิดขึ้นเมื่อมีการรัฐประหารเพื่อล้มรัฐบาลเดิม ที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐ โดยมักอ้างจุดประสงค์เรื่องการทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ มักจะใช้กฏอัยการศึก หรือใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายตน ตัวอย่างเผด็จการทหารในประเทศไทย เช่น ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ถึงสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ( พ.ศ. 2502-2516) หรือการปกครองของญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
หลักการสำคัญ
- ให้ความสำคัญกับคณะผู้นำในกองทัพ
- การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะในด้านการมีส่วนร่วมทางการเมือง แต่อาจยังคงให้เสรีภาพทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
เผด็จการฟาสซิสต์
ระบอบนี้มีต้นกำเนิดช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2465-248 ในประเทศอิตาลี โดยเบนิโต
มุโสนินี และในพรรคนาซีในเยอรมนี โดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ระบอบนี้ยึดถือว่าอำนาจในการปกครองจะอยู่ที่ผู้นำเพียงคนเดียว
ระบอบฟาสซิสต์มุ่งไปที่การแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ และชนชาติ มากกว่าความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ มีการสนับสนุนระบบนายทุน และชนนั้นนำ ดังนั้นจึงอยู่ตรงข้ามกับระบบคอมมิวนิสต์
หลักการสำคัญ
- ยึดมั่นในตัวของผู้นำ ประชาชนต้องอยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำที่เด็ดขาดเพียงคนเดียวมีความชาตินิยม
เชื้อชาตินิยมอย่างสุดโต่ง เชื่อในความรุนแรง - ฟาสซิสต์จะแบ่งคนออกเป็น 2 พวกคือ มิตร และศัตรู และศัตรูย่อมต้องถูกทำลาย สงครามจึงเป็นสิ่งชอบธรรม
เผด็จการคอมมิวนิสต์
เป็นผลพวงมาจากแนวคิดของ Karl Marx นักคิดชาวเยอรมัน ผู้เชื่อว่าความไม่เท่าเทียมทางสังคมนั้น เกิดจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้น นายทุนเป็นผู้ได้เปรียบ ในขณะที่กรรมาชีพเป็นผู้เสียเปรียบตลอดกาล จึงมีแนวคิดว่าควรยกเลิกระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินออกไป กำจัดระบบชนชั้น เพื่อให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ต่อมาแนวคิดนี้ถูกนำไปปรับเปลี่ยนมาใช้ในทางการเมือง ทั้งในรัสเซีย โดยมีผู้นำคือ วลาดิเมียร์ เลนิน และ โจเซฟ สตาลิน เป็นผู้สืบทอดอำนาจ ในรูปแบบของการปกครองประเทศโดยพรรคบอลเซวิค และในจีนโดยมีผู้นำคือ เหมาเจ๋อตุง ผ่านการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
หลักการสำคัญ
- มีพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวที่ผูกขาดการทำหน้าที่ปกครองประเทศ
- ควบการเลือกตั้ง โดยการจำกัดเสนอชื่อบุคคลที่มีสิทธิเข้ารับการเลือกตั้ง (ส่วนใหญ่เป็นคนของพรรค)
- รัฐบาลสามารถควบคุมกิจกรรมและการดำเนินชีวิตของประชาชนในทุกด้าน
- รัฐบาลจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทุกอย่างในแผ่นดิน
- มักควบคู่ไปกับการใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
ปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยังปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์อยู่ แต่ทว่าได้มีการปรับเปลี่ยนลดระดับอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จลงในบางด้าน แต่ยังคงแนวคิดของระบบคอมมิวนิสต์ไว้ เช่น ประเทศจีน ที่ลดการวางแผนจากส่วนกลาง หันมาสนับสนุนเศรษฐกิจแบบตลาด ส่งออกการลงทุนไปยังประเทศอื่น ภายใต้การสนับสนุนของรัฐ เป็นต้น แต่ในทางการเมือง อำนาจในการบริหารประเทศยังอยู่ที่พรรคคอมมิวนิสต์เช่นเดิม
ข้อดีของระบอบเผด็จการ
- การกระบวนการทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการตัดสินใจของรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนมติเห็นชอบที่มากมายอย่างระบอบประชาธิปไตย
- เกิดความสงบในสังคม เนื่องจากมีการควบคุมที่เข้มงวดจากรัฐบาล
ข้อจำกัดของระบอบเผด็จการ
- ภาพลักษณ์ของระบอบเผด็จการนั้นดูไม่ดีในสายตาประชาคมโลก ส่งผลให้การติดต่อในด้านความสัมพันธ์กับรัฐอื่นดำเนินไปได้อย่างยากลำบาก
- ประชาชนบางส่วนถูกริดรอนสิทธิและเสรีภาพบางประการไป เช่น การมีส่วนร่วมทางการเมือง การเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ
- ไม่สามารถรับประกันได้ว่า ผู้มีอำนาจจะไม่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ เพราะขาดกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ เนื่องมาจากประชาชนถูกกีดกันการเมือง
- มักมีปัญหาในเรื่องการใช้ความรุนแรง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล
ใครว่าเผด็จการไม่มีรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ คือ กฏหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ หลักกฏหมายใดจะขัดกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ นี่เป็นข้อบัญญัติหนึ่งที่หลายคนทราบเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญ และความเข้าใจที่หลายคนคิดคือ การมีรัฐธรรมนูญ แปลว่า ประเทศนั้นมีการปกครองอย่างเป็นประชาธิปไตย ?
ซึ่งนั่นไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้องทั้งหมดเสียทีเดียว รัฐธรรมนูญเป็นข้อกฏหมายสูงสุดที่ให้การรับรองว่า ประชาชนใต้กฏหมายสามารถทำอะไร ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ก็อย่าลืมคิดว่า ในเมื่อรัฐธรรมนูญให้ประชาชนทำอะไรได้ รัฐธรรมนูญก็สามารถกำหนดให้รัฐบาล ทำอะไรได้-ไม่ได้เช่นเดียวกัน
แนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจคือ รัฐธรรมนูญถูกใช้เป็นเครื่องมือรับรองอำนาจของเผด็จการ อย่างประเทศจีน หรือเกาหลีเหนือ ต่างก็มีรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญเหล่านี้ก็จะถูกเขียนมาเพื่อให้อำนาจแก่ผู้นำประเทศ จึงไม่แปลกที่ในบางประเทศ หากเกิดการปฏิวัติ หรือรัฐประหารขึ้น แล้วจะต้องมีการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเดิม และเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ทั้งนี้ การมีรัฐธรรมนูญนั้นบางครั้งเป็นไปเพียงเพื่อเพื่อลดแรงกดดันจากภายนอก และไว้ใช้อ้างกับประชาชนว่า อย่างน้อยก็มีรัฐธรรมนูญรับรองว่า การใช้อำนาจของผู้นำประเทศนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ดังนั้นความชอบธรรมในการใช้กฏหมายที่แท้จริงของรัฐนั้น ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าใครเป็นคนได้ประโยชน์จากการอยู่ใต้รัฐธรรมนูญมากกว่า