พลเมือง (Citizen) หมายถึง กำลังของเมือง (พละ + เมือง) ส่วนใหญ่จะหมายถึง สมาชิกในประเทศหรือสังคมเมืองที่อยู่นั้นๆ เช่น เมื่อกล่าวถึงพลเมืองประเทศไหน ย่อมหมายถึงบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ถาวรในประเทศนั้นๆ เช่น พลเมืองของประเทศไทย
ตามกฎหมายไทย บุคคลที่มีสัญชาติต่างออกไป เมื่อเข้าไปอยู่อาศัยในประเทศไทย ก็จะถูกเรียกว่า คนต่างด้าว ซึ่งจะไม่มีสิทธิเท่าเทียมกับพลเมืองที่มีสัญชาติไทย
โดยพลเมืองของแต่ละประเทศนั้น ย่อมมีสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบที่แตกต่างกัน
ความเป็นพลเมือง (Citizenship) เกิดจากการที่มนุษย์ได้มาอยู่ร่วมกันเป็นสังคม ในความหมายนี้
มักหมายถึงสังคมขนาดใหญ่ ระดับเมือง ระดับประเทศ และเมื่อคนมาอยู่ร่วมกันมากเข้า แน่นอนว่าตามธรรมชาติของมนุษย์ย่อมมีความคิด มีการกระทำที่อาจขัดแย้งกันได้ ดังนั้นจำต้องมีการจำกัดความหมายของคำว่าพลเมืองออกมาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ชี้ให้เห็นจากเวลาที่พูดถึง “พลเมือง”
มักจะมีคำว่า “ดี” มาประกอบเสมอ กลายเป็นแนวคิดเรื่องพลเมืองดี (Good Citizen)
พลเมืองดี หมายถึง พลเมืองผู้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบพฤติกรรมที่เหมาะสม และปฏิบัติตนอย่างมีความรับผิดชอบ ความสำคัญของพลเมืองดีสำหรับสังคมนั้น พลเมืองดี ถือเป็นองค์ประกอบและเป็นทรัพยากรที่สำคัญเป็นอย่างมากของสังคม
สังคมทุกสังคมย่อมต้องการพลเมืองที่มีคุณภาพ เพื่อนำมาเป็นกำลังสำคัญในการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า หากประเทศใดมีพลเมืองดีเป็นจำนวนมาก ย่อมก่อให้เกิดผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพของประเทศให้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น ความเป็นพลเมือง (ที่ดี) จึงสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทความรับผิดชอบของคนที่มีต่อรัฐนั่นเอง
การกำหนดคุณลักษณะของพลเมืองที่ดีนั้นมีนักวิชาการหลายท่านได้กำหนดมาตรฐานที่แตกต่างกันออกไป แต่ในที่นี้จะขอยกแนวคิดคุณลักษณะของพลเมืองที่ดี ของนายแพทย์ประเวศ วะสี ขึ้นมาอธิบาย ดังนี้
รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและเคารพเสียงส่วนมาก
มีความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
รู้หน้าที่ บทบาท และสิทธิของตนเอง
ปฏิบัติตนโดยไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น
เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวมเสมอ
ซื่อสัตย์สุจริต มีความละอายและเกรงกลัว
ในการกระทำผิด
คุณสมบัติ “ความเป็นพลเมือง” นั้นเป็นคุณสมบัติที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาวิถีทางแห่งประชาธิปไตย
ไม่ใช่เพียงแค่การมีรัฐธรรมนูญหรือการเลือกตั้งเท่านั้น
แต่ประชาชนของรัฐนั้นจะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพทั้งของตนเองและผู้อื่น เคารพกติกาบ้านเมือง มีจิตสาธารณะ
ยอมรับความแตกต่าง เพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันโดยไม่แตกแยก
Active Citizen เป็นคำที่กำลังถูกยกขึ้นมาเอ่ยถึง การเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมโลกมากขึ้น เพราะเวลาที่เราพูดถึงความเป็นพลเมืองที่ดีในปัจจุบัน เราไม่ได้หมายความแค่การเป็นพลเมืองที่ปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคม หรือการเคารพกฏหมายแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
แต่เดิม ความหมายของคำว่า “พลเมืองดี” นั้น
มักจะถูกจำกัดอยู่เพียงแค่การเป็น Passive Citizen
คือ ประชาชนที่ปฏิบัติตามกฏหมายของรัฐ และดำรงอยู่ในระเบียบวินัย แน่นอนว่าการเป็นพลเมืองเช่นนี้ย่อมทำให้สังคมสงบสุข เนื่องจากทุกคนอยู่ในกรอบที่ควรจะเป็น
ดังนั้น Active Citizen จึงเป็นการสร้างสำนึกความเป็นพลเมืองที่อยู่บนฐานของ “เราเป็นเจ้าของสังคม” สังคมเป็นของเรา ทำให้เราในฐานะพลเมืองของสังคมนั้นต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบ ทำให้สังคมที่เราอยู่นั้นพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น
งานวิจัยหนึ่งที่น่าสนใจของสถาบันพระปกเกล้าในปี 2554 พบว่า คุณสมบัติของการเป็นพลเมืองที่ประชาชนคนไทยให้ความสำคัญสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นว่าคุณสมบัติของพลเมืองในความคิดของคนไทยกับคุณสมบัติของพลเมืองแบบ Active Citizen ยังมีความแตกต่างกันอยู่ในแง่ของการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองและการทำเพื่อสังคม
หากมองในภาพใหญ่ แน่นอนว่ารัฐทุกรัฐย่อมอยากให้ประชาชนอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐอยู่เป็นทุน เนื่องจากรัฐจะทำอะไรก็ได้ โดยไม่มีคนมาขัด เรามีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแค่ไหน ก็ทำไปเท่าที่ได้ แต่คำถามที่ตามมาคือ
หากการตัดสินใจของรัฐเกิดการผิดพลาดขึ้น แล้วส่งผลเสียต่อสังคมหรือประชาชนในพื้นที่จากการตัดสินใจของรัฐ
(เช่น ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน) แล้ว ใครจะเป็นผู้ตั้งคำถามต่อการกระทำของรัฐเช่นนี้ ใครจะเป็นผู้ร่วมกันแก้ไขปัญหาหรือรักษาสิทธิของตนเองที่ถูกละเมิด
หัวใจสำคัญของ Active Citizen คือ พลเมืองต้องมีความรู้สึกเป็นเจ้าของสังคม ฉะนั้น หากพลเมืองเป็นเพียงพลเมืองที่ทำตามรัฐทั้งหมด ก็จะเป็นเพียงแค่ประชาชนใต้การปกครอง นอกจากนี้แล้ว ไม่ได้เพียงแค่ปฏิบัติตัวเองให้เป็นพลเมืองดีแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ยังต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้อื่นเป็นพลเมืองดีด้วยเช่นกัน การนำตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมส่วนรวม จะช่วยในการต่อยอดและพัฒนาความคิด สร้างความสัมพันธ์กับสังคม และสุดท้ายหากทุกคนยังคงนิ่งเฉย ทำหน้าที่ไปวันๆ ก็จะไม่เกิดพลังพลเมืองที่จะสร้างสรรค์สังคมให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ต่อไปในอนาคต