กฎหมายเรื่องน่ารู้
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมาย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
100%
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับตนแองและครอบครัว I (เกิด ตาย หมั้น-สมรส-หย่า)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
100%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับตนแองและครอบครัว II (บุตรบุญธรรม เทคโนโลยีเจริญพันธุ์)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
50%
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับตนเองและครอบครัว III (มรดก)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
50%
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
67%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับนิติกรรมและสัญญา I (ข้อความคิดทั่วไป ความสามารถของบุคคล)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
100%
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับนิติกรรมและสัญญา II (เรื่องเงินทองกับกฎหมาย)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
100%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายอาญา
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
50%
O-NET
ออกสอบ
100%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
100%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายอื่นที่สำคัญ
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
50%
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายระหว่างประเทศ
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
สิทธิมนุษยชน
ความหมาย ความสำคัญ แนวคิด และหลักการของสิทธิมนุษยชน
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
50%
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บทบาทขององค์กรระหว่างประเทศในเวทีโลกที่มีผลต่อประเทศไทย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
สาระสำคัญของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาและพัฒนาสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย

ความหมาย ความสำคัญ แนวคิด และหลักการของสิทธิมนุษยชน

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

ความหมาย ความสำคัญ แนวคิด และหลักการของสิทธิมนุษยชน (ชุดที่ 1)

HARD

ความหมาย ความสำคัญ แนวคิด และหลักการของสิทธิมนุษยชน (ชุดที่ 2)

news

ความหมาย ความสำคัญ แนวคิด และหลักการของสิทธิมนุษยชน

เนื้อหา

ความหมาย ความสำคัญ แนวคิด และหลักการของ
สิทธิมนุษยชน

      สิทธิมนุษยชน (Human Rights) คือสิทธิพื้นฐานอันละเมิดมิได้ที่มีมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์ หมายความว่า ด้วยความเป็นมนุษย์เพียงอย่างเดียวก็สามารถเรียกร้องสิทธิมนุษยชนได้ โดยไม่จำเป็นต้องอ้างถึงสถานะทางสังคมหรือคุณสมบัติอื่นใด

      พระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นอกจากจะจัดตั้งคณะกรรมการในระดับชาติ
เพื่อรับผิดชอบงานด้านการส่งเสริม คุ้มครอง และตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้ว ยังให้ความหมายของสิทธิมนุษยชนไว้ว่า

“ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลที่ได้รับการรับรองหรือคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือตามกฎหมายไทย หรือตามสนธิสัญญาที่ประเทศไทยมีพันธกรณีจะต้องปฏิบัติตาม”  

      จะเห็นได้ว่าสิทธิมนุษยชน มิได้เป็นเพียงสิทธิตามกฎหมายของรัฐไทยเท่านั้น ยังหมายรวมถึง สิทธิที่ถูกรับรองในทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ผูกพันรัฐไทย
ซึ่งรัฐบาลไทยอาจมีพันธกรณีที่จะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบายของไทยให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของสิทธินั้นๆ ในทางสากลด้วย โดยเนื้อหาของสิทธิมนุษยชนนั้นเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ร่วมกันในสังคมแทบทุกมิติ

      ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หมายถึง คุณค่าของความเป็นมนุษย์ซึ่งทุกคนมีโดยเท่าเทียมกัน ทุกคนจึงต้องได้รับการปฏิบัติต่อกันอย่างเป็นมนุษย์ ต้องไม่ถูกดูถูกเหยียดหยาม หรือถูกปฏิบัติอย่างสัตว์หรือสิ่งของ หรือถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

      สิทธิ หมายถึง อำนาจอันชอบธรรมที่จะกระทำการใดโดยอิสระ อาจใช้ทั้งในความหมายของอำนาจอันชอบธรรมตามธรรมชาติที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด และทั้งที่ถูกรับรองโดยกฎหมาย

      เสรีภาพ หมายถึง ความเป็นอิสระของบุคคลที่จะกระทำการใดๆ โดยไม่ถูกควบคุมหรือแทรกแซง

      ความเสมอภาค หมายถึง สถานะความเท่าเทียมระหว่างบุคคลที่จะได้รับการเคารพสิทธิและได้รับการปฏิบัติตามกฎหมาย


ความสำคัญและพัฒนาการของแนวคิด

      สิทธิมนุษยชนเป็นแนวคิดที่พัฒนามาจากแนวคิดเรื่องกฎหมายธรรมชาติ (Natural Law) ที่มองว่า
มีกฎเกณฑ์บางประการที่มีอยู่ในธรรมชาติ เกิดขึ้นเองโดยที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้น มีอยู่มาก่อนและอยู่เหนือกฎหมายของรัฐ ประกอบกับแนวคิดเรื่องสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Rights) ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมามีสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือล่วงละเมิดโดยกฎหมายของรัฐได้ 
      การที่แนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนถูกยอมรับให้เป็นสิทธิทางกฎหมายทั้งในระดับกฎหมายของรัฐและกฎหมายระหว่างประเทศได้นั้น เป็นผลพวงของประวัติศาสตร์การต่อสู้ ทั้งในเชิงความคิดและในทางการเมืองเป็นระยะเวลานานในหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก

      สังคมมนุษย์ในอดีตนั้น มิได้มองว่ามนุษย์ทุกคนมีคุณค่าและเสรีภาพเท่าเทียมกันเช่นสังคมส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
ดังจะเห็นได้จากประวัติศาสตร์การค้าทาสตั้งแต่สมัยโรมันจนถึงยุคล่าอาณานิคม ระบบสังคมแบบแบ่งชนชั้นวรรณะในยุคศักดินาทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกที่จำกัดสิทธิในการเดินทางหรือเลือกใช้ชีวิตของผู้อยู่ใต้ปกครอง แม้ประเทศในยุโรปยุคที่ผ่านการปฏิวัติอุตสาหกรรมแล้วก็ยังมีระบบ
การปกครองที่จำกัดเฉพาะผู้ที่มีทรัพย์สินหรือสถานะทางสังคมเท่านั้นจึงจะสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการทาง
การเมืองได้  

       แนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนขบวนการการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมของผู้อยู่ใต้ปกครองและผู้ถูกกดขี่ “มหากฎบัตร (Magna Carta)” ซึ่งถูกลงนามในปี 1215 ที่ประเทศอังกฤษ ถูกนับว่าเป็น
เอกสารแรกๆ ที่ยอมรับสิทธิของประชาชนผู้ถูกปกครอง
ก่อนจะพัฒนามาเป็นเอกสารที่เรียกว่า “บัญญัติสิทธิ (Bill of Rights)” ที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญของหลายประเทศ แนวคิดเรื่องกฎหมายธรรมชาติถูกพัฒนาจนยอมรับสิทธิตามธรรมชาติให้เป็นสิทธิทางกฎหมายอย่างชัดเจนที่สุดในศตวรรษที่ 18 นี้เอง

      เอกสารที่เป็นสัญลักษณ์ของพัฒนาการในยุคนี้คือ “คำประกาศสิทธิของมนุษย์และพลเมืองของฝรั่งเศส
(The Declaration of the Rights of Man and Citizen)"
 ในปี 1789 ช่วงก่อนการปฎิวัติฝรั่งเศส และ “บัญญัติสิทธิของสหรัฐอเมริกา (United States Bill of Rights)” ในปี 1791 หลังการประกาศอิสรภาพของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายรัฐธรรมนูญของทั้งสองประเทศ ทั้งสองสิ่งนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญอีกหลายประเทศทั่วโลกและเอกสารในทางกฎหมายระหว่างประเทศอีกหลายฉบับในศตวรรษถัดมา รวมถึง “ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rigths)” ในปี 1948 หลังการยุติของสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประกาศยอมรับสิทธิโดยมีนัยยะอันเป็นสากล
      เช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่าหมุดหมายสำคัญของพัฒนาการแนวคิดสิทธิมนุษยชนก็คือหมุดหมายสำคัญของประวัติศาสตร์พัฒนาการของสังคมมนุษย์นั่นเอง

      แม้สิทธิมนุษยชนจะได้รับการยอมรับและบัญญัติเป็นกฎหมายสูงสุดของแทบทุกประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังมีกฎหมายพิเศษอีกมากมายที่บัญญัติเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แต่ในสภาพความเป็นจริงนั้น สิทธิต่างๆ ก็ยังถูกแก้ไขหรือบิดเบือนโดยกฎหมายของรัฐ ถูกละเลยโดยนโยบายของผู้บริหารประเทศ หรือถูกละเมิดโดยกลไกทางสังคมแบบไม่เป็นทางการ นำมาถึงปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนที่เราเห็นตัวอย่างมากมาย  เช่น การเลือกปฏิบัติทางเพศ
การค้ามนุษย์ การปราบปรามการชุมชนโดยใช้ความรุนแรง การทรมานผู้ต้องหา  
      ดังนั้น จึงต้องมีกลไกที่จะส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิทั้งในระดับชาติและระดับระหว่างประเทศ การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนบางครั้งอาจถูกต้องตามกฎหมายของรัฐนั้นๆ แต่อาจขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
ในกรณีเช่นนี้ รัฐนั้นๆ มีหน้าที่ต้องแก้ไขกฎหมายให้ถูกต้องตามหลักการของกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่รัฐไปให้ความยินยอมผูกพันเอาไว้ การยอมรับสิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิทางกฎหมายเช่นนี้ มีลักษณะเป็นสัญญาประชาคม (social contract) ระหว่างรัฐและประชาชน ในความหมายที่ว่า รัฐหรือผู้ปกครองจะเคารพ (respect) กล่าวคือ ไม่ละเมิดสิทธิของประชาชน จะคุ้มครอง (protect) ประชาชนจากการถูกละเมิดสิทธิโดยผู้อื่น และจะดำเนินมาตรการเพื่อเติมเต็ม (fulfill) สิทธิให้แก่ประชาชน


หลักการของสิทธิมนุษยชน

      หลักการสำคัญของสิทธิมนุษยชนอันได้รับการยอมรับมีอยู่หลายประการ

  1. สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่ติดตัวกับความเป็นมนุษย์ (inherent)
    มนุษย์ไม่ต้องการคุณสมบัติอื่นใดนอกจากความเป็นมนุษย์ในการที่จะเรียกร้องสิทธิ
  2. สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่เป็นสากล (universal)
    คือไม่ว่าจะมีความแตกต่างทางสังคม วัฒนธรรม หรือประวัติศาสตร์อย่างไรก็ตาม มีสิทธิบางประการที่มนุษยชน์ทุกคนจะต้องได้รับการคุ้มครองเป็นมาตรฐานเช่นเดียวกันทั่วโลก
  3. สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่ไม่สามารถถูกพรากไป หรือไม่สามารถถูกยกให้แก่กันได้ (inalienable)
    แม้ในกรณีที่กฎหมายของรัฐจะไม่ยอมรับ หรือรัฐบาลจะมีนโยบายที่ละเมิดสิทธิก็ตาม ประชาชนก็ยังมีสิทธิมนุษยชนอยู่ หลักการนี้มีรากฐานมาจากแนวคิดเรื่องสิทธิตามธรรมชาติอันจะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยกฎหมายของมนุษย์หรือของรัฐ
  4. สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิที่ไม่ถูกแยกออกจากกัน (indivisible) และมีความเชื่อมโยงระหว่างสิทธิต่างๆ (interdependent)
    สิทธิมนุษยชนอาจถูกแบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม หากแต่ไม่สามารถถูกแยกออกจากกันโดยเลือกคุ้มครองเฉพาะประเภทใดประเภทหนึ่งได้ อีกทั้งสิทธิต่างๆ นั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง เช่น หากไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิในการทำงานและรับค่าตอบแทน บุคคลก็จะไม่มีทรัพยากรเต็มที่เพื่อใช้เสรีภาพในการแสดงออกหรือการชุมนุม หรือในทางกลับกัน หากไม่สามารถใช้เสรีภาพในการแสดงออกหรือการเข้าร่วมกระบวนการทางการเมือง บุคคลก็ไม่สามารถเรียกร้องให้สิทธิในการทำงานของตนเองได้รับการปกป้องได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น สิทธิต่างๆ จึงต้องได้รับการเคารพ ปกป้อง และเติมเต็มไปพร้อมๆ กันเพื่อให้มนุษย์ทุกคนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี
  5. มนุษย์ทุกคนจะต้องได้รับการปกป้อง คุ้มครอง และเติมเต็มสิทธิมนุษยชนอย่างเสมอภาค (equal) และไม่ถูกเลือกปฎิบัติ (non-discrimination)