กฎหมายอาญา : เมื่อชีวิตตกอยู่ในอันตราย กฎหมายจะช่วยอะไรเราได้?
กฎหมายอาญา มีลักษณะเป็นกฎหมายมหาชน กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่รัฐใช้ลงโทษเอกชนที่ทำความผิดซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม และด้วยความที่เป็นกฎหมายที่เป็นการลงโทษและจำกัดเสรีภาพของคน ดังนั้น จึงต้องใช้การตีความอย่างเคร่งครัดและต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้อย่างชัดแจ้ง
ดังนั้น หากบุคคลได้กระทำการใด ๆ ลงไป แต่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด บุคคลก็ไม่ต้องรับโทษ และหากเวลาผ่านไปกลับมีกฎหมายออกมาแล้วบอกว่าการกระทำที่ทำไปในอดีตนั้นมีความผิด กฎหมายอาญาก็จะไม่ย้อนหลังกลับไปลงโทษบุคคลนั้น เพราะกฎหมายอาญามีหลักการอีกประการที่สำคัญก็คือ กฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลัง
กรณีที่เป็นโทษแก่ผู้กระทำความผิด นั่นก็หมายความว่าหากเป็นกรณีที่เป็นคุณ กฎหมายอาญาสามารถย้อนหลังให้ได้ เช่น
โทษฐานลักทรัพย์ต้องจำคุก 5 ปี นาย ก. รับโทษไปแล้ว 2 ปี มีกฎหมายออกมาว่า โทษจำคุกฐานลักทรัพย์ให้ลดเหลือเพียง 3 ปี เช่นนี้ นาย ก. ย่อมได้รับประโยชน์จากกฎหมายใหม่นี้ และเหลือเวลารับโทษอีกเพียง ปีเดียวเท่านั้น กฎหมายอาญานั้นจะต้องพิจารณาถึงหลักดินแดนก่อน กล่าวคือ กฎหมายอาญาของไทยจะมีผลก็ต่อเมื่อผู้นั้นกระทำความผิดภายในราชอาณาจักรไทย รวมถึงการกระทำในท่าอากาศยานไทย เช่น
ก. ยิง ข. ขณะอยู่บนเครื่องบินของการบินไทย ขณะที่เครื่องบินจอดอยู่ที่ลาว เช่นนี้ ก. ทำความผิดในราชอาณาจักรไทยสามารถดำเนินคดีกับ ก. ได้ เว้นแต่ความผิดบางประการที่กฎหมายอาญาบอกว่าไทยสามารถนำมาลงโทษได้แม้ทำนอกราชอาณาจักร เช่น วางแผนก่อการร้ายประเทศไทย ขณะที่อยู่ที่ประเทศอังกฤษหรือปลอมแปลงเงินตราไทย เป็นต้น
การพิจารณาว่าบุคคลใดมีความผิดในทางอาญาหรือไม่นั้น
จะพิจารณาดังต่อไปนี้
- มีการกระทำ หรือองค์ประกอบภายนอก หรือไม่กระทำในทางกฎหมายอาญานั้น คือ การเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกในการกระทำนั้น เช่น ยิงปืนใส่ ก. ก็ต้องรู้ว่าตนเองถือปืนและเหนี่ยวไกไปยัง ก.
- มีเจตนาในการกระทำความผิดนั้น หรือ องค์ประกอบภายใน คือ เจตนาที่จะกระทำเช่นนั้นต่อบุคคลนั้นจริง ๆ เช่น
A จะยิง ก. ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า A ทำเช่นนั้น เพื่อจะฆ่า ก. จริง ๆ ไม่ใช่ว่า A ถูกสะกดจิต หรือ ละเมอ (เป็นการกระทำโดยไม่รู้สำนึก) ไปยิง ก.เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแม้จะมีการกระทำในทางข้อเท็จจริง แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะเอาชีวิตของ ก. เช่นนี้ A ก็จะไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตาย ซึ่งการกระทำบางครั้งอาจเป็นการกระทำโดยไม่เจตนาก็เป็นได้ เช่น
ก. ใช้มีดแทง ข. โดยมุ่งทำร้ายร่างกาย ข. แต่ปรากฏว่าแผลนั้นกลับติดเชื้อ และ ข. เสียชีวิตลงในที่สุด เช่นนี้ ข. ก็มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาเพราะไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าให้ตายแต่แรก เพียงแค่จะทำร้ายเท่านั้น หรือบางครั้งอาจเป็นการกระทำโดยประมาท คือหากได้ใช้ความระมัดระวังแม้เพียงน้อยนิดตามวิสัยวิญญูชนทั่วไป ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น เช่น
ก. ขับรถด้วยความเร็ว ข. กำลังจะข้ามถนน แต่ ก. หยุดรถไม่ทันจึงชน ข. จนถึงแก่ชีวิตเช่นนี้ เห็นได้ว่า ก. มิได้มีเจตนาที่จะชน ข.แต่อย่างใด หากเพียงแค่ ก. ขับรถตามความเร็วที่กฎหมายกำหนด ก. ก็จะหยุดรถทันและไม่ชน ข. จนถึงแก่ความตาย เป็นต้น - มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดและต้องรับโทษ เช่น ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษฐานฆ่าคนตาย ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปต้องระวางโทษฐานลักทรัพย์ เป็นต้น
- ไม่มีเหตุยกเว้นความผิดตามกฎหมาย a. เหตุป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น ก. ถือมีดเข้ามาจะแทง ข. ดังนั้นเพื่อป้องกันตนเอง ข. จึงเอามีดแทงสวน ก.ไป อย่างนี้เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและพอสมควรแก่เหตุ ข. ก็จะไม่มีความผิดที่แทง ก. เพราะอ้างเหตุป้องกันจำเป็นได้b. มีจารีตประเพณีให้ทำได้ เช่น การแข่งขันชกมวย แม้จะเป็นการทำร้ายร่างกายกันแต่ก็ไม่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการทำร้ายร่างกายได้ และมีกีฬานี้อยู่มานานแล้วc. เป็นการกระทำที่ผู้เสียหายยินยอมโดยการยินยอมนี้ต้องไม่ใช่เรื่องที่ขัดต่อความเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น ยอมให้เพื่อน
เข้าไปหา ที่บ้าน เช่นนี้เพื่อนไม่มีความผิดฐานบุกรุก แต่ถ้ายอมให้คนอื่นฆ่าตนเอง เช่นนี้ทำไม่ได้เพราะเป็นเรื่องที่ขัดต่อสำนึกของวิญญูชนทั่วไป - ไม่มีเหตุยกเว้นโทษ
a. กระทำโดยจำเป็น เช่น ก. เอาปืนจ่อ ข. แล้วบอกว่าจะยิงถ้า ข.ไม่ยอมทำร้าย ค.
เช่นนี้ ข. ย่อมเป็นผู้ที่ตกอยู่ในภยันตรายอันถึงแก่ชีวิตของตนเเล้ว หาก ข. ทำร้าย ค.
ไป เช่นนี้ ข. ย่อมมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ค.แต่กฎหมายยกเว้นโทษให้b. กระทำไปเพราะความมึนเมา ทั้งนี้ต้องเป็นความมึนเมาที่เกิดจากความไม่ตั้งใจเท่านั้น ไม่ใช่ว่า
เสพยาเพื่อที่จะได้ฆ่าคนแล้วไม่รู้สึกผิด เช่นนี้กฎหมายจะไม่ยกโทษให้
การกระทำความผิดทางอาญา
การกระทำความผิดในทางอาญานั้น อาจแยกพิจารณาได้ เช่นนี้
- การคิด คือ ยังไม่ได้กระทำ ขั้นนี้ยังไม่มีความผิดทางกฎหมายอาญา
- การตกลงใจ คือ คิดแล้วว่าจะทำแต่ยังไม่ได้ทำ จึงยังไม่มีความผิด
- การตระเตรียมการ ขั้นนี้โดยทั่วไป ความผิดยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงยังไม่มีความผิด แต่ความผิดทางอาญาบางประการแม้อยู่ในขั้นนี้ก็มีความผิดแล้ว เช่น ความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ เป็นต้น
- การพยายามกระทำความผิด คือ มีการกระทำแล้ว แต่ผลไม่ได้เกิดแบบที่ตั้งใจไว้แต่แรก เช่น ตั้งใจจะยิงให้ตาย แต่อีกฝ่ายแค่บาดเจ็บ เท่านั้น เช่นนี้ผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
- การกระทำความผิดสำเร็จ คือ กระทำการลงไปแล้ว และผลเป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ เช่น ตั้งใจจะยิงให้ตายแล้วก็ตายจริง เป็นต้น
ผู้กระทำความผิดทางอาญา
เกิดได้ 3 กรณี ดังต่อไปนี้
- ตัวการ คือ ผู้ที่ลงมือทำความผิดโดยตรง
- ผู้ใช้ คือ ผู้ที่ก่อให้คนอื่นกระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นการจ้างวานหรือยุยง อาจลงโทษได้ 2 กรณี คือ หากความผิดกระทำลงไปแล้วต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ แต่ถ้าทำไม่สำเร็จความผิดจะเหลือแค่ 1 ใน 3 ของโทษที่ระวางไว้ในความผิดแต่ละฐานนั้น ๆ
- ผู้สนับสนุน คือ ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือหรืออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้กระทำความผิดนั้นๆ โดยอาจรับโทษ 2 ใน 3 หากความผิดนั้นได้กระทำลง แต่ไม่ต้องรับโทษเลยหากความผิดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเลย ตัวอย่างเช่น
ก. ต้องการฆ่า ข. จึงจ้าง ค. ไปฆ่า โดย ค.ไปขอยืมปืนจาก A โดย A ก็ให้ยืมไปทั้งๆที่รู้ว่า ค. จะเอาไปฆ่า ข. สุดท้าย ค. ฆ่า ข. สำเร็จ กรณีเช่นนี้ พิจารณาได้ว่า ก. นั้นเป็นผู้ใช้ เพราะเป็นผู้ที่จ้างให้ ค.ไปฆ่า ส่วน ค. ผิดฐานตัวการ เพราะเป็นผู้ลงมือกระทำโดยตรง ส่วน A นั้นเป็นผู้สนับสนุน ด้วยเหตุที่ว่า ให้ ค. ยืมปืนไป เป็นการอำนวยความสะดวกในการฆ่าคนนั่นเอง
โทษทางอาญา
มีทั้งหมด 5 สถาน เรียงจากน้อยไปหามาก ดังนี้
- ริบทรัพย์ คือการเอาทรัพย์นั้นมาเป็นของรัฐ
- ปรับ การปรับเงินตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
- กักขัง การกักตัวเอาไว้ในพื้นที่อื่นนอกจากเรือนจำ
- จำคุก การนำตัวไปขังที่เรือนจำตามเวลาที่ศาลพิพากษาไว้
- ประหารชีวิต การฉีดสารพิษเข้าสู่ร่างกาย
ประเภทความผิดทางอาญา
ความผิดอาญาแผ่นดิน เป็นความผิดที่ไม่สามารถตกลงยอมความกันได้ เพราะรัฐเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำ การปราบปรามโดยความผิดประเภทนี้ รัฐสามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้เลยโดยไม่ต้องมีการร้องทุกข์ เช่น ฆ่าคนตาย ทำร้ายร่างกาย เป็นต้น
ความผิดต่อส่วนตัว เป็นความผิดที่สามารถตกลงให้ผู้เสียหายยอมความได้ และรัฐสามารถดำเนินคดีได้ก็ต่อเมื่อมีผุ้เสียหาย
มาร้องทุกข์เท่านั้น เช่น ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ความผิดฐานหมิ่นประมาท เป็นต้น
ความผิดลหุโทษ เป็นความผิดสถานเบา คือ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ เช่น ความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า
ประเภทความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่น่าสนใจ
- ลักทรัพย์ เอาสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต
- วิ่งราวทรัพย์ ฉกฉวยซึ่งหน้า
- ชิงทรัพย์ ใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อเอาทรัพย์ไปในขณะนั้น
- ปล้นทรัพย์ ร่วมกันชิงทรัพย์ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป
- ยักยอกทรัพย์ เบียดบังเอาทรัพย์ผู้อื่นมาเป็นของตนหรือเบียดบังทรัพย์ที่ตนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยมาเป็นของตนเอง
- กรรโชกทรัพย์ ข่มขืนใจผู้อื่นว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์ที่ตนเองต้องการ
ความผิดอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
- ซ่องโจร คน 5 คนขึ้นไปสมคบกันทำผิดทางอาญา
- ก่อการจลาจล คน 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญเพื่อทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย
- อั้งยี่ คณะบุคคลปกปิดวิธีดำเนินการ และมุ่งหมายทำผิดกฎหมาย
- การข่มขืนกระทำชำเรา ในปัจจุบันรวมถึงการที่หญิงกระทำชาย ชายกระทำหญิง หรือ เพศเดียวกันกระทำต่อกันเองด้วย โดยมีความผิดหากนำอวัยวะเพศ อวัยวะอื่นใด หรือ อุปกรณ์ใดๆ ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายอีกฝ่ายโดยหากกระทำต่อผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ผู้ข่มขืนมีความผิดทุกกรณี แต่ถ้าเกินกว่า 15 ปี ไม่มีความผิดหากผู้นั้นยินยอมที่จะร่วมเพศด้วย
- หากเป็นการนำอวัยวะเพศ อวัยวะอื่นใด หรืออุปกรณ์ใดๆไปสัมผัสกับเนื้อตัวร่างกายของอีกฝ่าย จะเป็นความผิดฐานอนาจารไม่ใช่ข่มขืนกระทำชำเรา