คำถามที่หลายคนเคยได้ยินในวิชาประวัติศาสตร์ไทย บ้างก็ว่าราชธานีแห่งแรกของไทย เริ่มต้นที่กรุงสุโขทัย ตามด้วยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และ กรุงรัตนโกสินทร์ ตามลำดับ บ้างก็ว่าไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาแต่ดั้งเดิม เริ่มต้นชนชาติไทยอยู่ในแผ่นดินนี้มาตั้งแต่ในสมัยอาณาจักรทวารวดีบ้าง ละโว้ ศรีวิชัย หริภุญชัย กระจายกันตามภูมิภาคต่างๆ บ้าง หรือสรุปได้ว่าประวัติศาสตร์ไทยมีมายาวนานนับพันปี
แต่รู้หรือไม่ว่า ที่จริงแล้วคำว่า “ไทย” เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 แต่เดิมก่อนหน้านั้นเรามีชื่อเรียกกันว่า “สยาม” และรู้หรือไม่ว่า รัฐสยามจริง ๆ เพิ่งเกิดขึ้นมาเพียงแค่ร้อยกว่าปีเท่านั้น เผลอๆ เกิดทีหลังสหรัฐอเมริกาเสียอีก
นั่นก็เพราะ แนวคิดเรื่อง รัฐสมัยใหม่ (Modern State) อันเป็นแนวคิดว่าด้วยเรื่องเขตแดนของประเทศต่างๆ นั้นเพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นานนัก แต่เดิมแนวคิดเรื่อง รัฐชาติ นั้นยังไม่ปรากฏชัดเจน การอ้างอิงตนเองว่าเป็นคนที่ไหน จึงเป็นการอ้างจากพื้นที่ เมืองที่ตัวเองอาศัยอยู่ เช่น เป็นคนจากกรุงศรีฯ เป็นคนบางระจัน เป็นต้น ดังนั้น เส้นแบ่งเขตแดนในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ที่พบในยุคปัจจุบัน คือการแบ่งเขตแดนที่เกิดจินตนาการจากคนในยุคสมัยปัจจุบันเท่านั้น เราไม่สามารถบอกได้เลยว่า อาณาจักรสุโขทัย มีพื้นที่ที่แท้จริงเท่าไหร่กันแน่ เนื่องจากผู้คนและผู้ปกครองในสมัยนั้นไม่ได้สนใจเรื่องพรมแดนนั่นเอง
คำว่า ประเทศ (country) ชาติ (nation) และรัฐ (state) คำทั้ง 3 ในวงการวิชาการนั้น ความหมายแต่ละคำถูกเน้นหนักไปในขอบเขตที่ต่างกัน
ถ้าประเทศใด มีองค์ประกอบครบทั้ง 4 ประการนี้แล้ว สามารถอนุมานได้ว่าเป็น รัฐ โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงขนาดของพื้นที่ จำนวนประชากร หรือประวัติศาสตร์ใดๆ เรียกได้ว่า ไม่ว่าจะมีขนาดพื้นที่ใหญ่หรือเล็ก มีประชากรมากหรือน้อย ก็มีศักดิ์ศรีความเป็นรัฐเท่ากัน
นอกจากนี้ เรายังสามารถแบ่งรูปแบบของรัฐออกไปได้อีก 2 รูปแบบ คือ
ส่วนในปัจจุบัน ประเทศที่ปกครองแบบสมาพันธรัฐในปัจจุบันไม่มีแล้ว แต่ สหภาพยุโรป (EU) ก็มีลักษณะใกล้เคียงกับสมาพันธรัฐอยู่บ้าง
แนวคิดเรื่องรัฐสยาม เริ่มปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) มีการเอ่ยถึง “อาณาจักรสยาม” บ้างในราชสาส์นที่ส่งไปยังประเทศตะวันตก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า รัฐสยามเริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ที่ได้มีการปฏิรูประบบการเมือง ดึงอำนาจเข้าสู่เมืองหลวง รวมอาณาจักรต่างๆ ที่เคยเป็นอิสระเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสยาม อย่างล้านนาทางเหนือ รัฐปาตานีทางใต้ กำหนดเส้นเขตแดนประเทศให้ชัดเจนอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ในขณะที่ฝั่งอเมริกา การก่อรูปของอเมริกาเริ่มเกิดขึ้นค่อนข้างชัดเจนหลังสงครามปฏิวัติอเมริกาขึ้นเพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ ที่ได้สิ้นสุดลงใน พ.ศ.2326 (ค.ศ. 1783) ดังนั้น หากเรานำแนวคิดรัฐสมัยใหม่ (Modern State) มาพิจารณา จะได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างชัดเจนว่า รัฐไทย ในความหมายของรัฐชาติสมัยใหม่ (modern state nation) เกิดขึ้นภายหลังการก่อตั้งสหรัฐอเมริกา เพราะเมื่อเปรียบเทียบจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้วสหรัฐอเมริกาก่อตั้งเมื่อราวศตวรรษที่ 2300 ในขณะที่รัฐไทยเริ่มก่อรูปขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 2400 หรือในอีก 100 ปีถัดมานั่นเอง
การจัดระเบียบการปกครองสรุปใจความสำคัญการบริหารราชการของไทย แบ่งออกเป็น ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นการบริหารราชการส่วนกลาง ใช้หลักการรวมอำนาจ กล่าวคือ ส่วนกลางมีอำนาจในการตัดสินใจ วินิจฉัย สั่งการ รวมถึงการแต่งตั้ง สรรหาเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย กระทรวง ทบวง กรมการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ใช้หลักการแบ่งอำนาจ หมายถึง ส่วนกลางจะมอบอำนาจในการทำกิจการบางอย่างให้เกือบทั้งหมด ยกเว้นการบริหารงานบุคคล ประกอบด้วย จังหวัด อำเภอการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ใช้หลักการกระจายอำนาจ โดยส่วนกลางได้กระจายอำนาจให้ ในรูปแบบของ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น มีอำนาจในการตัดสินใจ และงานบุคคลากรทั้งหมด
ผู้นำท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้ง ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล และรูปแบบพิเศษ (กรุงเทพฯ พัทยา)
จากหลักฐานที่ปรากฏ อาจเริ่มต้นอภิปรายการบริหารราชการแผ่นดินของไทยได้ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ได้กล่าวว่า ยุคนั้นได้มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก และให้ราษฏรต่างช่วยกัน “ถือบ้านถือเมือง” โดยไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าเมืองที่แท้จริงในเขตต่างๆ ล่วงมาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แบ่งแยกการบริหารออกเป็น ฝ่ายพลเรือน และฝ่ายทหาร โดยมี สมุหนายก ควบคุมกิจการพลเรือน ซึ่งประกอบไปด้วย กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง กรมนา (หรือเรียกว่า จตุสดมภ์) และหัวเมืองฝ่ายเหนือ ส่วนฝ่ายทหารมีสมุหกลาโหม เป็นผู้ดูแล รวมทั้งทำหน้าที่ควบคุมหัวเมืองฝ่ายใต้ด้วย
ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงแรกยังคงยึดหลักการบริหารราชการแบบกรุงศรีอยุธยา จนถึงสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้ทรงปฏิรูปการบริหารราชการ ยกเลิกตำแหน่งเสนาบดีทั้ง 2 และจัตุสดมภ์ ให้การบริหารเป็นรูปแบบกระทรวงต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 12 กระทรวง ยกเลิกระบบหัวเมืองแบบเดิม จัดตั้ง มณฑล เมือง อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ขึ้นมา
การบริหารราชการแผ่นดินของไทยในปัจจุบัน จะมีอยู่ 3 แนวคิดใหญ่คือ การรวมอำนาจ การแบ่งอำนาจ และการกระจายอำนาจ ซึ่งการบริหารราชการส่วนกลางของไทยในปัจจุบัน อ้างอิงตาม พรบ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2553) ได้ระบุการจัดระเบียบการปกครองของไทยออกเป็น 3 ส่วน คือ
ใช้หลักการรวมอำนาจ (Centralization) โดยให้อำนาจในการตัดสินใจ วินิจฉัย สั่งการ ในการจัดทำบริการสาธารณะ บังคับบัญชา สรรหา แต่งตั้ง อยู่ที่ส่วนกลางทั้งหมด ซึ่งส่วนกลางที่ว่านี้ ประกอบไปด้วยสำนักนายกรัฐมนตรี มีฐานะเทียบเท่ากระทรวง มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหาร ทำหน้าที่เกี่ยวกับการราชการทั่วไปของนายกรัฐมนตรี ที่อยู่นอกเหนือจากอำนาจของกระทรวง ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 19 กระทรวง อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ทำหน้าที่ในการวางแผนดำเนินงาน กำหนดนโยบาย ต่างๆ สำหรับการบริหารประเทศ ทบวง หน่วยบริหารที่มีสถานะยังไม่ถึงกับเป็นกระทรวงได้ กรม หน่วยบริหารย่อยสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี หรือกระทรวง หรือทบวง มีอธิบดีเป็นผู้บริหารส่วนราชการอื่นที่ไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง มีฐานะเทียบเท่ากรม มีทั้งสิ้น 9 หน่วยงาน เช่น สำนักราชวัง สำนักเลขาธิการ ราชบัณฑิตยสถาน ฯลฯ
เป็นการปกครองที่พัฒนามาจากอดีตที่พระมหากษัตริย์ส่งขุนนางออกไปปกครองหัวเมืองต่างๆ การบริหารราชการส่วนภูมิภาค ใช้หลักการแบ่งอำนาจ (Deconcentration) หมายถึง ส่วนกลางจะมอบอำนาจในการทำกิจการบางอย่างให้กับส่วนภูมิภาคไปปฏิบัติ ทั้งในระดับของการตัดสินใจ และวิธีการดำเนินงาน แต่อำนาจในการสรรหา แต่งตั้ง การบริหารงานบุคคล ยังคงเป็นของส่วนกลางเช่นเดิม ดังนั้นการแบ่งอำนาจจะไม่เหมือนกับการกระจายอำนาจ ซึ่งจะกล่าวถึงในส่วนถัดไป
จังหวัดมีทั้งสิ้น 76 จังหวัด ไม่รวมกรุงเทพมหานคร (เพราะเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ) มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหารอำเภอ เป็นหน่วยย่อยของจังหวัด โดยใน 1 จังหวัดก็จะมีหลายอำเภอ มีนายอำเภอเป็นผู้บริหาร และหากพื้นที่ไหนมีพื้นที่มาก แต่มีประชากรน้อยเกินกว่าจะตั้งเป็นอำเภอ ก็จะได้รับการจัดตั้งเป็นกิ่งอำเภอแทน
ทั้ง 3 อำนาจนี้ จะเป็นอิสระต่อกันและจะทำหน้าที่ในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน (Checks and Balances) เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากเกินไป เพราะมันอาจจะนำไปสู่การใช้อำนาจเกินขอบเขตและส่งผลเสียต่อประเทศได้
อำนาจนิติบัญญัติ คือ อำนาจในการออกกฏหมาย โดยสถาบันผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัตินั้น คือ “รัฐสภา” ซึ่งรัฐสภาไทยจะประกอบไปด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) จำนวน 500 คน (แบ่งเขตเลือกตั้ง 350 คน และบัญชีรายชื่อ 150 คน) สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 200 คน (โดยการเลือกสรรกันเองในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ)รวมแล้วมีสมาชิกทั้งสิ้น 700 คน ซึ่งมีประธานสภาผู้แทนราษฏรเป็นประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภาเป็นรองประธาน รัฐสภามีหน้าที่ในการตรากฏหมาย โดยกฏหมายที่ออกมานั้นเรียกว่า พระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นกฏหมายลำดับรองจากรัฐธรรมนูญ เป็นตัวแทนของประชาชนในการเห็นชอบกฏหมายต่างๆ นอกจากนี้ยังมีอำนาจในการควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหาร ผ่านการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ อันส่งผลให้คณะรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งได้ด้วยเช่นกัน
อำนาจบริหาร คือ อำนาจในการกำหนดนโยบาย และบังคับใช้กฏหมาย สถาบันผู้ใช้อำนาจบริหารคือ “คณะรัฐมนตรี” ซึ่งประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกของสภาผู้แทนราษฏรที่เลือกสมาชิกของสภาผู้แทนราษฏรด้วยกันกับรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คน (นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เลือก) คณะรัฐมนตรียังมีอำนาจในการตรากฏหมาย ได้แก่ พระราชกำหนด พระราชกฤษฏีกา กฏกระทรวง และประกาศกระทรวง รวมถึงการบริหารราชการแผ่นดิน กำกับดูแล จัดการการบริหารราชการออกเป็น ส่วนกลาง (กระทรวง ทบวง กรม) ส่วนภูมิภาค (จังหวัด อำเภอ) และ ส่วนท้องถิ่น (อบจ. อบต. เทศบาล กรุงเทพฯ และพัทยา) โดยการบริหารของคณะรัฐมนตรีนั้น จะอยู่ภายใต้การตรวจสอบจากรัฐสภา แต่ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ก็มีอำนาจในการยุบสภาเช่นเดียวกัน
อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีต่างๆ ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้ในพระปรมาภิไธยของกษัตริย์ เพื่อก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม โดยสถาบันผู้ใช้อำนาจนี้คือ “ศาล” ในประเทศไทย มีการใช้ระบบศาล ที่เรียกว่า “ระบบศาลคู่” นั่นคือ การให้ศาลยุติธรรมพิจารณาคดีอาญาและแพ่งเท่านั้น ส่วนคดีปกครองให้เป็นหน้าที่ของศาลปกครอง ซึ่งประเทศที่ใช้ระบบศาลคู่ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศที่ใช้ระบบกฏหมายแบบลายลักษณ์อักษร (Civil Law)
อำนาจของฝ่ายตุลาการ ถือได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับประชาชนน้อย เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน อำนาจหน้าที่ต่างๆ ถูกกำหนดโดยรัฐธรรมนูญค่อนข้างจำกัด แต่ทว่ามีความสำคัญเนื่องจากเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระ ไม่ตกอยู่ภายใต้การกำกับของฝ่ายไหน จึงทำให้สามารถทำหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนได้อย่างสะดวก หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นสถาบันสำคัญที่ทำหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไม่ให้ถูกละเมิดนั่นเอง