กฎหมายเรื่องน่ารู้
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมาย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
100%
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับตนแองและครอบครัว I (เกิด ตาย หมั้น-สมรส-หย่า)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
100%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับตนแองและครอบครัว II (บุตรบุญธรรม เทคโนโลยีเจริญพันธุ์)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
50%
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับตนเองและครอบครัว III (มรดก)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
50%
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
67%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับนิติกรรมและสัญญา I (ข้อความคิดทั่วไป ความสามารถของบุคคล)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
100%
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับนิติกรรมและสัญญา II (เรื่องเงินทองกับกฎหมาย)
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
100%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายอาญา
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
50%
O-NET
ออกสอบ
100%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
100%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายอื่นที่สำคัญ
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
50%
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
กฎหมายระหว่างประเทศ
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
สิทธิมนุษยชน
ความหมาย ความสำคัญ แนวคิด และหลักการของสิทธิมนุษยชน
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
50%
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บทบาทขององค์กรระหว่างประเทศในเวทีโลกที่มีผลต่อประเทศไทย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
สาระสำคัญของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาและพัฒนาสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
RELIGION
ออกสอบ
น้อย
กฎหมาย
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย

กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับตนเองและครอบครัว III (มรดก)

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับตนเองและครอบครัว III (ชุดที่ 1)

HARD

กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับตนเองและครอบครัว III (ชุดที่ 2)

เนื้อหา

กฎหมายมรดก : มรดกเรื่องยุ่งยาก แต่ก็ยังอยากรู้นะว่าใครจะมีสิทธิได้?


ความหมายของมรดก

      ความตายเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เพราะทุกคนต้องเผชิญ ทั้งนี้ทุกคนย่อมมีความต้องการครั้งสุดท้ายก่อนตายที่ต้องการสั่งเสียไว้ ซึ่งหนึ่งในเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการก่อนเสียชีวิตก็คงหนีไม่พ้นเรื่องทรัพย์สิน ดังนั้น ความหมายของ มรดก นอกจากทรัพย์สินของผู้ตายแล้ว ยังต้องรวมไปถึงสิทธิและหน้าที่ที่ผู้ตายมีอยู่ก่อนที่จะตายและได้ส่งต่อให้กับทายาทด้วย

ความหมายของพินัยกรรม

      พินัยกรรม คือ สิ่งที่แสดงถึงความต้องการครั้งสุดท้ายของผู้ตายว่าต้องการให้สิ่งที่ตนเองมีอยู่ถูกส่งต่อให้กับใครบ้าง ควรจะทำการจัดการทรัพย์สิน และเรื่องต่างๆอย่างไร โดยการทำพินัยกรรมนั้น แน่นอนว่าผู้ที่แสดงเจตนาเผื่อตายไว้ต้องการให้ความต้องการของตนเองนั้นมีผลบังคับได้ตามกฎหมายหลังจากที่ตนเองเสียชีวิตไปแล้ว
      ดังนั้น การทำพินัยกรรมจึงควรต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดเพื่อที่จะได้ถูกรับรองให้มีผลบังคับ
ตามกฎหมาย 
ซึ่งผู้ที่สามารถทำพินัยกรรมได้ คือ ผู้เยาว์ที่มีอายุครบ 15 ปี บริบูรณ์ และต้องไม่เป็นบุคคลไร้ความสามารถที่ศาลสั่ง คือ ต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทุกประการที่จะสามารถกำหนดเจตนาเผื่อตายของตนเองได้

ทายาทตามกฎหมาย

ทายาทตามพินัยกรรม เป็นทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดก เพราะ ถูกระบุชื่อไว้ในพินัยกรรม
ซึ่งอาจเป็นผู้ที่มีหรือไม่มีความสัมพันธ์กับ
เจ้ามรดกก็ได้
ทายาทโดยธรรม เป็นทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดกเพราะเป็นเครือญาติกับเจ้ามรดก
ซึ่งมีทั้งหมด 6 ลำดับ ดังต่อไปนี้
  1. ผู้สืบสันดาน หรือ บุตรนั่นเอง
  2. บิดา มารดา
  3. พี่น้องร่วมบิดาและมารดา
  4. พี่น้องร่วมเฉพาะบิดาหรือมารดา
  5. ปู่ ย่า ตา ยาย
  6. ลุง ป้า น้า อา
* คู่สมรส เป็นทายาทโดยธรรมลำดับพิเศษ คือ นอกจากจะมีสิทธิในสินสมรสครึ่งหนึ่งแล้ว ยังมีสิทธิ
ได้รับมรดกในฐานะที่เป็นทายาทโดยธรรมลำดับพิเศษอีกด้วย

การแบ่งมรดก

  1. มีการแบ่งไว้อย่างชัดเจนไว้ในพินัยกรรมอยู่แล้ว กรณีนี้จะไม่เป็นปัญหา
  2. เจ้ามรดกเสียชีวิตโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ กรณีนี้
    จะแยกพิจารณาได้ดังต่อไปนี้

    a. เจ้ามรดกมีคู่สมรสอยู่ ต้องแบ่งให้คู่สมรสก่อนครึ่งหนึ่งเพราะเป็นสินสมรสที่หามาได้ด้วย เมื่ออยู่ด้วยกัน จากนั้นแบ่งให้คู่สมรสอีกในฐานะทายาทโดยธรรมลำดับพิเศษ

    b. เจ้ามรดกไม่มีคู่สมรส แต่มีทายาทลำดับที่ (1) และ (2) อยู่ ให้เอามรดกมาหารส่วนแล้วแบ่งให้เท่าๆกัน

    c. เจ้ามรดกมีแต่ทายาทโดยธรรมลำดับที่ (3)-(6) ซึ่งถ้ามีลำดับไหนอยู่ มรดกก็จะถูกหารส่วนให้ทายาทลำดับนั้นเท่าๆ กัน โดยลำดับที่ต่ำไปกว่านั้นก็จะไม่มีสิทธิได้มรดก เช่น เจ้ามรดกมีเพียง พี่ชายร่วมบิดามารดาคนเดียว แล้วในขณะเดียวกัน ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง น้า อายังมีชีวิตอยู่ครบ เช่นนี้ มรดกของเจ้ามรดกย่อมตกสู่พี่ชายร่วมบิดามารดา อันเป็นทายาทลำดับ (3) ของเจ้ามรดกเท่านั้น ไม่ตกไปยังทายาทชั้นถัดลงมาอีก
  3. การได้รับมรดกของคู่สมรสในฐานะที่เป็นทายาทโดยธรรมลำดับพิเศษ

    a. ได้รับส่วนแบ่งเสมือนบุตร ถ้าเจ้ามรดกมีทายาทโดยธรรมลำดับที่ (1)

    b. ได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง ถ้ามีทายาทโดยธรรมลำดับที่ (2) (เฉพาะกรณีที่ไม่มี (1))

    c. ได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง ถ้ามีทายาทโดยธรรมลำดับที่ (3)

    d. ได้รับส่วนแบ่ง 2 ใน 3 ถ้ามีทายาทโดยธรรมลำดับที่ (4) หรือ (5) หรือ (6)

    e. ได้รับทั้งหมด ถ้าไม่มีทายาทโดยธรรมลำดับใดเลย

การเสียสิทธิในการได้รับมรดก

  1. ถูกกำจัดไม่ให้รับมรดก
    เป็นกรณีที่ทายาทเสียสิทธิโดยผลของกฎหมาย เพราะเหตุที่ทายาทนั้นได้ทำการยักย้ายทรัพย์มรดก หรือปิดบังทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกต่อทายาทคนอื่น การกำจัดมิให้รับมรดกนั้น ไม่ได้หมายความว่า ผู้ถูกกำจัดจะไม่ได้รับเฉพาะทรัพย์สินที่ยักยอกหรือปิดบัง แต่หมายถึงถูกกำจัดในส่วนแห่งมรดกที่ทายาทนั้นจะได้รับ คือถ้าส่วนที่ทายาทยักย้ายหรือปิดบัง เท่าหรือมากกว่า ส่วนที่ทายาทมีสิทธิจะได้รับ ทายาทนั้นก็จะถูกกำจัดไม่ให้รับมรดกเลย แต่ถ้าส่วนที่ยักย้ายหรือปิด น้อยกว่า ส่วนที่ทายาทนั้นมีสิทธิจะได้รับ ก็ต้องถูกกำจัดเพียงเท่าที่ส่วนที่ยักย้ายหรือปิดบัง

  2. ถูกตัดไม่ให้ได้รับมรดก
    การตัดไม่ให้รับมรดกจะตัดได้เฉพาะทายาทโดยธรรมเท่านั้น โดยไม่รวมถึงผู้รับพินัยกรรม การตัดทายาทโดยธรรมด้วยการแสดงเจตนาชัดแจ้ง และระบุตัวทายาทผู้ถูกตัดโดยชัดแจ้ง มีผลทำให้ทายาทโดยธรรมผู้นั้นไม่มีสิทธิรับมรดก และผู้สืบสันดานของผู้ถูกตัดก็ไม่มีสิทธิรับมรดกแทนที่เลย เพราะในกรณีดังกล่าว ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้รับมรดกแทนที่หรือสืบมรดกต่อไปได้ กรณีทายาทโดยธรรมซึ่งถูกตัดมิให้รับมรดก แต่เป็นผู้รับพินัยกรรมการตัดมิให้รับมรดกดังกล่าวก็ไม่กระทบถึงสิทธิรับมรดกตามพินัยกรรมของผู้ถูกตัดดังกล่าว โดยการตัดมิให้รับมรดกนั้น อาจเกิดขึ้นได้ใน 2 รูปแบบ คือ ตัดโดยพินัยกรรม หรือตัดโดยทำหนังสือมอบไว้ให้กับเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจ (นายอำเภอ หรือ ปลัดอำเภอ ตามเขตท้องที่ที่เจ้ามรดกอาศัยอยู่)
  3. สละมรดกด้วยตนเอง
    คือ การทำเป็นหนังสือมอบแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ กรณีที่ผู้ใดจะเป็นผู้เขียนหรือพิมพ์หนังสือก็ได้ แต่ต้องลงชื่อของผู้สละมรดก ถ้าลงชื่อไม่ได้ก็อาจทำอย่างอื่นตามความหมายของคำว่า “พนักงานเจ้าหน้าที่” ความหมายเดียวกับเรื่องการตัดมิให้รับมรดก หรือ การสละมรดกที่ทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาระงับข้อพิพาทอันหนึ่งอันใดที่มีอยู่ หรือมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน และต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ

  4. ไม่ได้เข้าถือเอาทรัพย์มรดก หรือไม่ได้ฟ้องเอาตามอายุความที่สามารถฟ้องได้


ประเภทของพินัยกรรม

  1. แบบธรรมดา จะเขียนหรือพิมพ์ก็ได้ แต่ต้องมีพยานลงลายมือชื่อในพินัยกรรมอย่างน้อย 2 คน

  2. แบบเขียนเองทั้งฉบับ ต้องเขียนด้วยลายมือตนเองทั้งฉบับเท่านั้น

  3. แบบเอกสารฝ่ายเมืองทำโดยไปแสดงเจตนาในการจัดการเรื่องต่าง ๆ กับเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจแล้วเจ้าหน้าที่จะบันทึกถ้อยคำ พร้อมให้พยานอย่างน้อย 2 คน ลงลายมือชื่อ แล้วเก็บรักษาพินัยกรรมฉบับนั้นไว้ที่อำเภอ

  4. แบบเอกสารลับ

  5. แบบทำด้วยวาจา  ทำได้เฉพาะในพฤติการณ์พิเศษเท่านั้นที่ไม่อาจทำพินัยกรรมด้วยวิธีอื่นได้แล้ว


ผู้จัดการมรดก

      แม้ว่ากองมรดกจะตกทอดแก่ทายาทแล้วก็ตาม ก็อาจมีปัญหาขัดข้องในการจัดสรรแบ่งปันมรดก หรือติดตามทวงถามหนี้สินที่บุคคลอื่นเป็นหนี้เจ้ามรดกอยู่ หรือจะไปโอนที่ดินเป็นของตน เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินก็จะปฏิเสธบ้าง ลูกหนี้เจ้ามรดกปฏิเสธบ้าง หรือแม้จะไปเบิกเงินธนาคาร ๆ ก็ปฏิเสธบ้างว่าต้องนำเอาคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้นั้นเป็นผู้จัดการมรดกมาให้ดูมาแสดงเสียก่อนว่าผู้มาติดต่อนั้น ศาลได้แต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว มิฉะนั้นไม่ดำเนินการให้

      จึงมีความจำเป็นที่ทายาทจะต้องไปดำเนินการขอให้ศาลแต่งตั้งตนเองหรือบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งก็จะเสียเวลาพอสมควรกว่าจะยื่นคำร้องขอและกว่าจะไต่สวนคำร้องและศาลมีคำสั่งประเหมาะเคราะห์ร้ายมีคนอื่นคัดค้านเข้ามาอีกก็ยิ่งเสียเวลาไปอีก
      ความจริงกฎหมายก็มิได้บังคับไว้ว่าหากเจ้ามรดกตายแล้วต้องตั้งผู้จัดการมรดก แต่ถ้ามีการตั้งไว้ก็ดีตรงที่ว่าการจัดการทรัพย์สินต่าง ๆ จะได้เป็นไปโดยสะดวกเรียบร้อย
      ผู้จัดการมรดกไม่จำเป็นต้องเป็นทายาทของเจ้ามรดก จะเป็นใครก็ได้ แต่ผู้มีสิทธิร้องขอต่อศาล ต้องเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียดังที่กล่าวแล้ว ทายาทอาจขอให้ศาลตั้งนาย ก. นาย ข. หรือนาย ค. ก็ได้
      ประการสำคัญ ผู้ที่จะเป็นผู้จัดการมรดกต้องบรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ ไม่เป็นบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนล้มละลาย คนประเภทนี้เห็นแล้วว่าไม่สามารถรู้ผิดชอบหย่อนความคิดอ่าน มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขืนไปจัดการทรัพย์สินคนอื่น ก็มีแต่จะเสียหายยิ่งขึ้นไปเท่านั้น

มรดกของพระภิกษุ

      คำว่า ภิกษุ มิได้หมายความเฉพาะบุคคลที่ได้อุปสมบทในพุทธศาสนา แต่รวมความถึงแม่ชีและสามเณรหรือพระจีนซึ่งเป็นนักพรต

      พระภิกษุนั้น จะเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกในฐานะที่เป็นทายาทโดยธรรมไม่ได้ เว้นแต่จะได้สึกจากสมณเพศมาเรียกร้องภายในอายุความตามกฎหมายกำหนด แต่พระภิกษุนั้นอาจเป็นผู้รับพินัยกรรมได้

      เมื่อบุคคลใดจะยกทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท กฎหมายได้กำหนดทายาทไว้ 2 แบบ คือ แบบแรกเรียกว่า "ทายาทโดยธรรม" ได้แก่ คู่สมรส ลูกหลาน และญาติที่กฎหมายจัดไว้ 6 ลำดับซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ กับทายาทซึ่งมีสิทธิตามพินัยกรรมที่เรียกว่า "ผู้รับพินัยกรรม" ซึ่งอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้

      แต่ที่เกี่ยวข้องกับพระภิกษุคือ ห้ามพระภิกษุมาฟ้องหรือเรียกร้องมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมเว้นแต่จะสึกออกมาเสียก่อนและเรียกร้องภายในเวลาตามที่กฎหมายกำหนด นั่นคือ จากความกฎหมายที่ยกมานี้ พระภิกษุสามารถรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม หรือในฐานะผู้รับพินัยกรรมก็ได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ขอให้สึกออกมาฟ้องเรียกร้องภายในกำหนดอายุความตามกฎหมาย คือ 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย หรือเมื่อทายาทโดยชอบธรรมรู้หรือควรรู้ว่าเจ้ามรดกตายแล้ว

      ถ้าพระภิกษุเป็นทายาทเพียงคนเดียวที่มีสิทธิได้รับมรดก มรดกย่อมตกทอดมายังพระภิกษุทันทีที่เจ้ามรดกตาย หากบุคคลอื่นเบียดบังเอาทรัพย์มรดกนั้นไป พระภิกษุในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ มีสิทธิติดตามเรียกร้องเอาทรัพย์นั้นคืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกนั้นได้

"ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณะเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้นจะได้จำหน่ายไปในระหว่างมีชีวิตหรือโดยพินัยกรรม"

      กฎหมายได้เขียนไว้ชัดเจนว่า ในระหว่างที่บุคคลใดยังบวชเป็นพระอยู่ หากมีญาติโยมที่ศรัทธาและได้ถวายข้าวของ ทรัพย์สินเงินทองใดๆ ให้แก่พระภิกษุรูปนั้น ย่อมเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของท่าน เมื่อพระภิกษุรูปนั้นมรณภาพลงไปเมื่อใด ทรัพย์สินที่ท่านได้รับมาในระหว่างอุปสมบทดังกล่าว ก็จะตกเป็นสมบัติของวัดที่พระภิกษุรูปนั้นจำพรรษาอยู่ทันที แต่มีข้อยกเว้นว่า ทรัพย์สินจะไม่ตกเป็นสมบัติของวัด ถ้าขณะยังมีชีวิตพระภิกษุรูปนั้นได้จำหน่ายจ่ายโอน หรือยกทรัพย์สินชิ้นใดให้คนหนึ่งคนใดไปเสียก่อน หรือว่าพระภิกษุรูปนั้นได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินใดให้แก่คนที่ท่านระบุชื่อไว้ในพินัยกรรม ก็ต้องเป็นไปตามนั้น วัดจะมาเรียกร้องสมบัติดังกล่าวไม่ได้

ทรัพย์สินใดเป็นของบุคคลก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ทรัพย์สินนั้นหาตกเป็นสมบัติของวัดไม่และให้เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมของบุคคลนั้นหรือบุคคลนั้นจะจำหน่ายโดยประการใดตามกฎหมายก็ได้

      ก่อนบวชถ้าพระภิกษุรูปใดมีทรัพย์สินอยู่อย่างไร กฎหมายเขียนไว้ชัดว่าไม่ตกเป็นสมบัติของวัด ดังนั้น บุคคลที่มีสิทธิได้รับทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนบวชของท่าน ก็คือทายาทของท่าน พ่อแม่ ภรรยา บุตร ก็ไปแบ่งกันตามสัดส่วน

      แต่ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็สามารถทำการจ่ายโอน หรือทำพินัยกรรมยกให้ใครโดยเฉพาะก็ได้เช่นกัน แม้พระภิกษุมีคู่สมรสและการบวชนั้นไม่ทำให้การสมรสนั้นขาดกัน และจะถือว่าเป็นการทิ้งร้างกันยังมิได้ก็ตาม ทรัพย์ที่ได้มาเพราะเขาทำบุญให้พระภิกษุย่อมไม่ถือว่าเป็นสินสมรสตาม ดังนั้นคู่สมรสจะแบ่งทรัพย์สินนี้กึ่งหนึ่งตามไม่ได้

      ถ้าพระภิกษุธุดงค์ไปในที่ต่างๆ แล้วมรณภาพลง ทรัพย์สินของพระภิกษุตกเป็นสมบัติของวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัด ถ้าบุคคลนั้นอุปสมบทแล้วสึกจากสมณะเพศ แล้วอุปสมบทใหม่หลายโบสถ์ ดังนี้ทรัพย์สินก่อนอุปสมบทครั้งสุดท้าย ซึ่งแม้จะได้มาระหว่างอุปสมบทครั้งก่อน ๆ คงตกได้แก่ทายาทของพระภิกษุ