อย่างที่หลาย ๆ คนทราบกันดีว่า “it” เป็นคำสรรพนาม แปลว่า “มัน” โดยทั่วไปเราสามารถใช้เป็นประธานหรือกรรมในประโยค โดยมีความหมายที่สื่อถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น it is a dog. ซึ่ง “it” ในประโยคนี้หมายถึง สุนัข หรือเมื่อคุณเห็นหนอนแล้ว เกิดไม่ชอบ รู้สึกรังเกียจ ก็อาจพูดได้ว่า I don’t like it ซึ่ง “it” ในที่นี้ก็หมายถึง หนอน นั่นเอง
แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว เรายังสามารถใช้ it เป็นประธานของประโยค โดยที่ it ไม่ได้มีความหมายสื่อถึงสิ่งใด แต่ใช้เพื่อเน้นย้ำบางอย่างในประโยค เราจะมาพูดถึงกันต่อไปนี้
เป็นประโยคที่อยู่ในรูป Passive Voice
ตัวอย่างที่เรามักจะเห็นการใช้ it รูปแบบนี้เช่น
จะเห็นว่าประโยคเหล่านี้ไม่ได้เจาะจงว่าใครเป็นผู้กระทำ แต่เน้นย้ำถึงเรื่องที่ต้องการบอกต่อไป (เป็นสิ่งที่เชื่อกันนะ เป็นสิ่งที่ว่ากันว่า) เป็นต้น
ยกตัวอย่างประโยค
It is believed that the wendigo possesses people who eats human meat and curses them.
(เชื่อกันว่าปีศาจเวนดิโกนั้นจะเข้าสิงและสาบคนที่กินเนื้อมนุษย์)
It is said that the right person will come at the right time.
(ว่ากันว่าคนที่ใช่จะมาในเวลาที่ใช่เอง)
It is announced that Chiang Mai was ranked the 3rd-most polluted city in the world.
(ได้มีการประกาศออกมาแล้วว่าเชียงใหม่เป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก)
ตัวอย่างที่เรามักจะเห็นการใช้ it รูปแบบนี้เช่น
ยกตัวอย่างประโยค
It is clear that we shouldn't stay in this haunted house any longer.
(เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกเราไม่ควรจะอยู่ในบ้านผีสิงนี้อีกต่อไป)
It is important that we should report the police about the accident.
(เป็นเรื่องสำคัญที่เราควรจะแจ้งตำรวจเกี่ยวกับอุบัติเหตุนี้)
It is surprising that you can come here all alone through this creepy forest.
(น่าประหลาดใจนะที่เธอมาถึงนี่คนเดียวได้ผ่านป่าอันน่าขนลุกแห่งนี้)
ตัวอย่างที่เรามักจะเห็นการใช้ it รูปแบบนี้เช่น
ยกตัวอย่างประโยค
It is too difficult to solve this problem within a night.
(มันยากเกินไปที่จะแก้ปัญหานี้ได้ภายในคืนเดียว)
* หากเราต้องการเน้นว่าหมายถึงใคร สามารถใช้ for ตามด้วย pronoun หรือ noun ก็ได้
ยกตัวอย่างประโยค
It is impossible (for her) to get accepted by that university.
(สำหรับเธอแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้ามหาวิทยาลัยนั้นได้)
เป็นการเน้นย้ำว่าใครทำอะไรหรืออยู่ที่ไหน
ยกตัวอย่างจากประโยคปกติ
John is talking to Edward in the room.
(จอห์นกำลังคุยกับเอ็ดเวิร์ดอยู่ในห้อง)
แต่หากเราใช้ it ในรูปแบบนี้เข้ามา สามารถเขียนได้ว่า
It is John who is talking to Edward in the room.
(จอห์นเป็นคนที่กำลังคุยกับเอ็ดเวิร์ดในห้อง)
ถึงแม้ทั้งสองประโยคจะมีความหมายเหมือนกัน แต่ประโยคที่สองเป็นการเน้นย้ำว่าคนที่คุยกับเอ็ดเวิร์ดคือจอห์น ไม่ใช่ใครที่ไหน หรือใครก็ตามนั่นเอง
ยกตัวอย่างประโยค
It was me who yelled at the principal this morning.
(ฉันเองแหละที่ตะโกนใส่อาจารย์ใหญ่เมื่อเช้านี้)
It was in this box that she keeps her diary.
(เธอเก็บสมุดจดบันทึกไว้ในกล่องนี้เองแหละ)