อารยธรรมของโลกยุคโบราณ
พัฒนาการของมนุษยชาติในสมัยกลางสู่ยุคแห่งการปฏิวัติ การปฏิรูป และยุคแห่งความสว่างไสวทางปัญญา
พัฒนาการของโลกในสมัยจักรวรรดินิยมถึงปัจจุบัน

พัฒนาการของมนุษยชาติสมัยประวัติศาสตร์

ยอดวิว 35.8k

แบบฝึกหัด

EASY

พัฒนาการของมนุษยชาติสมัยประวัติศาสตร์ (ชุดที่ 1)

HARD

พัฒนาการของมนุษยชาติสมัยประวัติศาสตร์ (ชุดที่ 2)

เนื้อหา

พัฒนาการของมนุษยชาติ
สมัยประวัติศาสตร์

      สมัยประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในดินแดนต่าง ๆ เริ่มต้นขึ้นไม่พร้อมกัน สำหรับประวัติศาสตร์สากลเริ่มต้นเมื่อประมาณ 5,500 ปีมาแล้ว เมื่อมีการพบการประดิษฐ์ตัวอักษรได้เป็นครั้งแรกในดินแดนเมโสโปเตเมีย ก่อนแหล่งอารยธรรมโบราณอื่น ๆ ตัวอักษรเหล่านั้นถูกเรียกว่า "ตัวอักษรลิ่ม" หรือ "ตัวอักษรคูนิฟอร์ม" (Cuneiform) ซึ่งถูกจารึกลงบนแผ่นดินเหนียว

      สำหรับการบันทึกเรื่องราวในระยะแรกมีความเกี่ยวข้องกับ ความเชื่อ, พิธีกรรมทางศาสนา, และเทพเจ้า, ต่อมาการบันทึกได้เกิดขึ้นจากความประสงค์ของกษัตริย์ จึงมีการบันทึกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์


การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สากลตามพัฒนาการของประวัติศาสตร์ตะวันตก สามารถแบ่งออกเป็น 4 สมัย ได้แก่

1.  ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ (Ancient Age) 
      สมัยโบราณในประวัติศาสตร์ตะวันตกเริ่มต้นเมื่อ 3,500 ปีก่อนค.ศ. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอียิปต์ซึ่งเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเกิดขึ้นและเจริญรุ่งเรือง เริ่มจากการประดิษฐ์ตัวอักษรของชาวสุเมเรียน จนถึงราว ค.ศ. 476 เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย เมื่อจักรพรรดิโลมูลุส ออกุสตุส (Romulus Augustus) จักรพรรดิเชื้อสายโรมันองค์สุดท้ายถูกพวกอนารยชนเผ่าเยอรมันขับไล่ลงจากบัลลังก์ ถือเป็นการสิ้นสุดสมัยโบราณ
      สำหรับลักษณะลำคัญของประวัติศาสตร์สมัยโบราณ คือ เป็นการสร้างสมอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลกตะวันตก อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่สมัยโบราณ ได้แก่ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมอียิปต์ อารยธรรมกรีก และอารยธรรมโรมัน
      อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) แหล่งอารยธรรมดังกล่าวเกิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรทิส ตรงกับปลายยุคเหล็กหรือราว 3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวสุเมเรียนนี้สามารถประดิษฐ์ "ตัวอักษรรูปลิ่ม" หรือ "คูนิฟอร์ม" (Cuneiform) ซึ่งเป็นการสลักตัวอักษรรูปลิ่มลงบนแผ่นดินเหนียวได้ และเป็นอารยธรรมแรกที่เริ่มนำเหล็กมาใช้ในการประดิษฐ์อาวุธและเครื่องมือเครื่องใช้

ภาพที่ 1  ตัวอย่างจารึกอักษรลิ่มบนแผ่นดินเหนียว

ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Cuneiform#/media/File:Cuneiform_tablet-_administrative_account_of_barley_distribution_with_cylinder_seal_impression_of_a_male_figure,_hunting_dogs,_and_boars_MET_DT847.jpg

      อารยธรรรมอียิปต์ (Egypt) แหล่งอารยธรรมดังกล่าวเกิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ อีกทั้งชาวอียิปต์สามารถประดิษฐ์ตัวอักษรภาพ หรือที่เรียกว่า "ตัวอักษรเฮียโรกลิฟฟิก" (Hieroglyphic) ได้เช่นกัน


ภาพที่ 2  ตัวอย่างจารึกอักษรเฮียโรกลิฟฟิกบนแผ่นหิน                                 
ที่มา: https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/2/25/Egypt_Hieroglyphe4.jpg

      หลังจากนั้นต่อมาจึงเกิดอารยธรรมกรีกโบราณและอารยธรรมโรมันโบราณขึ้น ซึ่งในช่วง 2 อารยธรรมนี้ นอกจากในด้านตัวอักษรและภาษาศาสตร์ ยังได้สร้างสรรค์ความรู้ในด้านอื่น ๆ เช่น ปรัชญา วิทยาศาสตร์ การแพทย์ และวิทยาการอื่น ๆ รวมทั้งงานศิลปกรรมขึ้นอีกมากมาย ซึ่งจะเป็นรากฐานต่อการพัฒนาวิทยาการความรู้ของชาวยุโรปในสมัยเรเนอซอง (Renaissance) เรื่อยมาอีกด้วย
2.  ระวัติศาสตร์ยุคกลาง (Medieval Age)  
     สมัยกลางอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 – 15 ในช่วงเวลานี้ที่ยุโรปได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกอย่างมาก โดยมีศาสนจักรโรมันคาทอลิก เป็นองค์กรสำคัญที่นำศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาททั้งทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม และ การดำเนินชีวิต ชาวยุโรปในช่วงเวลาดังกล่าวต่างถูกครอบงำโดยศาสนาจนไม่สนใจความเจริญและศิลปวิทยาการเหมือนในสมัยจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ การกระทำทุกอย่างถูกครอบงำโดยศาสนา อีกทั้งการกระทำนอกเหนือจากคำสอนของศาสนา ถือว่าเป็นโทษอย่างรุนแรง และจะถูกลงโทษโดยการ "บัพพาชนียกรรม" (Excommunication) อีกทั้งบรรดาวิทยาการจากสมัยกรีก - โรมัน ได้หายสาบสญไปอีกด้วย สมัยกลางจึงถูกเรียกโดยนักประวัติศาสตร์บางท่านว่า "ยุคมืด" (Dark Age)
      สำหรับจุดสิ้นสุดของสมัยกลาง นักประวัติศาสตร์แต่ละท่านได้ยึดถือเหตุการณ์แตกต่างกัน ถึง 3 เหตุการณ์ ได้แก่ 
      1) การล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Fall of Constantinople) 
      นักประวัติกลุ่มนี้เชื่อว่า สมัยกลางสิ้นสุดลงเมื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออกเดิมได้ล่มสลายลงด้วยฝีมือของพวกเติร์ก ในปีค.ศ.1453 หลังจากนั้นพวกเติร์กได้มีการสถาปนาจักรวรรดิออตโตมาน (Ottoman Empire) ขึ้นแทนที่ พร้อมทั้งเปลี่ยนนามกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) เป็นกรุงอิสตันบูล (Istanbul) 
      2) การประดิษฐ์เครื่องพิมพ์เครื่องแรกของโลก (Invention of Printer) 
      นักประวัติศาสตร์กลุ่มนี้เชื่อว่า 
สมัยกลางสิ้นสุดลงเมื่อโยฮานเนส กูเทนแบร์ก (Johannes Gutenberg) นักประดิษฐ์ชาวเยอรมัน สามารถประดิษฐ์เครื่องพิมพ์เครื่องแรกของโลกได้สำเร็จ และสามารถพิมพ์พระคัมภีร์ไบเบิลออกมาได้เป็นจำนวนมาก ในปีค.ศ. 1568
                                                             ภาพที่ 3  เครื่องพิมพ์ของกูเทนแบร์ก
                              ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Printing_press#/media/File:PrintMus_038.jpg


  
ภาพที่ 4 เครื่องพิมพ์ของกูเทนแบร์ก

      3) การค้นพบทวีปอเมริกาของโคลัมบัส (Discovery of America by Columbus)
     นักประวัติศาสตร์กลุ่มนี้เชื่อว่า สมัยกลางสิ้นสุดลงเมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) ได้ค้นพบทวีปอเมริกา ในปี ค.ศ.1492 และในช่วงเวลาดังกล่าวยังนับว่าเป็นจุดเริ่มต้น ของยุคการสำรวจทางทะเล (Age of Exploration)
     เหตุการณ์ที่สำคัญในยุคนี้ เช่น
     "สงครามครูเสด" (The Crusades War)
คือ สงครามระหว่างศาสนาโดยส่วนใหญ่มักหมายถึง สงครามครั้งใหญ่ระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์  ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 ถึง 13
3.  ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (New Age)
     เริ่มต้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ" (Renaissances) เนื่องจากมีการนำความรู้ และบรรดาศิลปวิทยาการจากสมัยกรีก - โรมันกลับมาใช้พัฒนาความเจริญอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็น ยุคแห่งการค้นพบและการสำรวจทางทะเ (Age of Exploration) สืบเนื่องจากเส้นทางการติดต่อค้าขายระหว่างยุโรปและเอเชียแต่เดิมคือ การเดินทางด้วยเรือจากบรรดาเมืองท่าบนคาบสมุทรอิตาลี ล่องผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และขึ้นฝั่งบนดินแดนเอเชียตะวันตกเฉียงใต้
     ต่อมาภายหลังเมื่อพวกเติร์กสามารถสถาปนาจักรวรรดิออตโตมาน และขยายอิทธิพลครอบคลุมดินแดนเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ กอปรกับบรรดาเมืองท่าบนคาบสมุทรอิตาลีที่ผูกขาดการค้าสินค้าสำคัญจากเอเชีย และเส้นทางการค้าเกือบทั้งหมดเพื่อหวังผลกำไร ทำให้อาณาจักรอื่น ๆ ในยุโรปต่างพยายามเสาะหางเส้นทางการเดินเรือไปยังดินแดนอื่นด้วยตนเอง ได้แก่ โปรตุเกส สเปน อังกฤษ และฝรั่งเศส ตามลำดับ ซึ่งยุคแห่งการค้นพบและสำรวจทางทะเลนี้จะนำไปสู่การล่าอาณานิคม ภายหลัง "การปฏิวัติอุตสาหกรรม" (Industial Revolution) ในที่สุด
      หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป กอปรกับการแข่งขันกันระหว่างมหาอำนาจยุโรปทั้งหลาย เพื่อแย่งชิงอาณานิคมเพื่อหาแหล่งวัตถุดิบและเป็นตลาดในการระบายสินค้า ส่งผลให้ความขัดแย้งเหล่านั้น ลุกลามจนกลายเป็น "สงครามโลกครั้งที่ 1" (The Great War) ในที่สุด สำหรับการสิ้นสุดของประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เกิดขึ้นภายหลังการสิ้นสุดของ "สงครามโลกครั้งที่ 2" (World War II)

       เหตุการณ์สำคัญในยุคนี้ เช่น
       เกิดการปฏิรูปศาสนาคริสต์ (Reformation) เกิดจากการที่พระชาวเยอรมันชื่อมาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) ได้ยื่นข้อโต้แย้ง 95 ข้อ (95 Theses) ต่อศาสนจักรคาทอลิก การกระทำดังกล่าวส่งผลให้มีการแบ่งศาสนาคริสต์ออกเป็น 2 นิกายใหญ่ ในเวลาต่อมา คือ นิกายโรมันคาทอลิก (Roman Catholic) มีศูนย์กลางที่กรุงโรม มีพระสันตะปาปา (Pope) เป็นประมุข และเป็นที่นิยมของบรรดารัฐในยุโรปตอนใต้ อีกนิกายหนึ่งคือ นิกายโปรแตสแตนท์ (Protestant) อันเป็นที่นิยมของบรรดารัฐในยุโรปตอนเหนือ
       สงครามโลกครั้งที่ 1 (The Great War) เกิดขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1914 - 1918  แนวคิดที่เป็นสาเหตุหลักของสงครามคือ "ลัทธิชาตินิยม" (Nationalism) (แนวความคิดที่ชื่นชมความยิ่งใหญ่ของชาติตนเองว่าสูงส่งกว่าชาติอื่น และมักใช้เป็นข้ออ้างอันชอบธรรมในการยึดครองดินแดนต่าง ๆ รวมถึงทำสงครามกับรัฐข้างเคียง) และ "จักรวรรดินิยม" (Imperialism) (แนวความคิดของชาติมหาอำนาจในยุโรปที่จะขยายอำนาจ และอิทธิพลของตนเข้าครอบครองดินแดนในทวีปต่าง ๆ ในรูปแบบของการล่าอาณานิคม เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ) แนวคิดดังกล่าวได้ทำให้เกิดการแย่งชิงผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจและการเมือง จนนำไปสู่ความขัดแย้งอันรุนแรง ในรูปแบบของสงครามในที่สุด
4.  ประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบัน หรือประวัติศาสตร์ร่วมสมัย (Modern Age)
     เริ่มต้นหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้น (ค.ศ. 1945-ปัจจุบัน) เป็นช่วงสมัยของ "สงครามเย็น" (Cold War) ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้นำโลกเสรีประชาธิปไตย และสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ 
      จนกระทั่งสหภาพโซเวียตล่มสลาย ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสงครามเย็น โลกจึงได้เข้าสู่ "สมัยโลกาภิวัตน์" (Globalization Period) ซึ่งเป็นยุคของข้อมูลข่าวสารหรือที่เรียกว่า "ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ" จนถึงปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาที่โลกมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์โดยทั่วไปเจริญขึ้น มนุษย์มีศักยภาพในการสำรวจอวกาศและดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ความเจริญทางด้านการแพทย์ทำให้มนุษย์มีชีวิตยืนยาวและมีคุณภาพ แม้มนุษย์จะอยู่ดีมีสุขขึ้นแต่ในยุคนี้ก็ส่งผลให้เกิดปัญหาใหม่ ๆ ตามมามากมายด้วยเช่นกัน