เคมีจลนศาสตร์
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
PAT
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
100%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ทิศทางการชนกันของอนุภาคและพลังงานที่ส่งผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
PAT
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
น้อย
วิชาสามัญ
ออกสอบ
67%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
ทดลองและอธิบายผลของตัวแปรที่มีต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา
PAT
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
67%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
เปรียบเทียบอัตราการเกิดปฏิกิริยาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรต่างๆ
PAT
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
67%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
น้อย
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย
อธิบายปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวันหรืออุตสาหกรรม
PAT
ออกสอบ
น้อย
O-NET
ออกสอบ
33%
วิชาสามัญ
ออกสอบ
33%
A-LEVEL
ออกสอบ
น้อย

ทดลองและอธิบายผลของตัวแปรที่มีต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา

ยอดวิว 0

แบบฝึกหัด

EASY

ทดลองและอธิบายผลของตัวแปรที่มีต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา

MEDIUM

ทดลองและอธิบายผลของตัวแปรที่มีต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา

HARD

ทดลองและอธิบายผลของตัวแปรที่มีต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา

เนื้อหา

ผลของความเข้มข้น พื้นที่ผิวของสารตั้งต้น อุณหภูมิ และตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา

ทฤษฎีการชน

กล่าวว่า

ขั้นแรกของการเกิดปฏิกิริยาเคมี คือ อนุภาคของสารต้องเกิดการชนกัน และต้องเป็นการชนที่มีทิศทางที่เหมาะสม และต้องเกิดพลังงานอย่างน้อยเท่ากับพลังงานก่อกัมมันต์

ดังนั้น จำนวนครั้งของการชนจึงส่งผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา ยิ่งมีสารตั้งต้นปริมาณมาก จำนวนครั้งของการชนก็ยิ่งมาก แสดงว่า ปริมาณของสารตั้งต้น หรือ ความเข้มข้นของสารตั้งต้นมาก ย่อมให้เกิดจำนวนครั้งของการชนที่มีพลังงานมากพอเพื่อให้เกิดปฏิกิริยายิ่งมาก ทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีเร็ว 

ดังเช่น

ปฏิกิริยาระหว่างสารละลายโซเดียมไทโอซัลเฟต กับสารละลายกรดไฮโดรคลอริก 
แสดงดังสมการ (1)

ความเข้มข้นของสารละลายทั้งสองมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยา กล่าวคือ เมื่อความเข้มข้นของสารละลายทั้งสองเพิ่มมากขึ้น จะทำให้อัตราเร็วของการเกิดปฏิกิริยาเร็วมากขึ้นตามลำดับ แสดงได้จากเวลาที่บันทึกตั้งแต่เริ่มเกิดปฏิกิริยาจนกระทั่งมองไม่เห็นรอยขีดกากบาทบนกระดาษ มีค่าน้อยลงเป็นลำดับ

พื้นที่ผิวของสาร การเกิดปฏิกิริยาเคมีอนุภาคของสารจะต้องเกิดการชนกัน ดังนั้น ในกรณีที่สารตั้งต้นมีสถานะต่างกัน

เช่น  สารที่เป็นของแข็ง ทำปฏิกิริยากับสารที่เป็นของเหลว ปฏิกิริยาจึงเกิดขึ้นที่พื้นที่ผิวของของแข็ง

ดังนั้น หากมีพื้นที่ผิวมาก โอกาสที่จะทำให้เกิดการชนยิ่งมีมาก หรือกล่าวได้ว่า พื้นที่ผิวมาก จะเกิดปฏิกิริยาได้เร็ว

ดังเช่น

ปฏิกิริยาระหว่างลวดแมกนีเซียมกับสารละลายกรดไฮโดรคลอริก สมการเคมีที่สมดุลแล้ว แสดงดังสมการ (2)

จากผลการทดลองพบว่าลวดแมกนีเซียมที่ถูกพับไว้ จะเกิดแก๊สไฮโดรเจนขึ้นน้อยกว่า ลวดแมกนีเซียมที่ไม่ได้ถูกพับ นั่นแสดงให้เห็นว่า พื้นที่ผิวของสารมีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี

อุณหภูมิ การเกิดปฏิกิริยาเคมีอนุภาคของสารจะต้องเกิดการชนกัน การเพิ่มอุณหภูมิให้ระบบย่อมทำให้อนุภาคของสารสั่น หรือเคลื่อนที่ได้เร็วมากขึ้น มีพลังงานจลน์สูงขึ้น โอกาสการชนกันจึงมีมากขึ้น และการชนที่ทำให้พลังงานมากกว่าพลังงานก่อกัมมันต์ก็ย่อมเกิดมากขึ้น ดังนั้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น จำนวนอนุภาคที่มีพลังงานสูงอย่างน้อยเท่ากับพลังงานก่อนกัมมันต์ย่อมมีมากขึ้น อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะสูงขึ้นด้วย

เช่น

ปฏิกิริยาระหว่างกรดออกซาลิกกับสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต
แสดงดังสมการ (3)

หากไม่ให้ความร้อนกับสารละลายกรดออกซาลิกก่อนนำไปเติมสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต จะไม่เกิดปฏิกิริยา

การกระจายพลังงานจลน์ของโมเลกุลแก๊สที่อุณหภูมิต่างๆ แสดงในรูปที่ 1 ที่อุณหภูมิสูง T2 จำนวนโมเลกุลที่มีพลังงานสูงกว่าพลังงานก่อกัมมันต์มีมากกว่าที่อุณหภูมิต่ำ T1 (โดยพิจารณาได้จากพื้นที่ใต้กราฟของแต่ละอุณหภูมิ) แสดงว่าที่อุณหภูมิสูงการชนกันของสารตั้งต้นมีโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นผลิตภัณฑ์มากกว่าที่อุณหภูมิต่ำ

รูปที่ 1 การกระจายพลังงานจลน์ชองโมเลกุลแก๊สที่อุณหภูมิต่างกัน

ตัวเร่งปฏิกิริยา และตัวหน่วงปฏิกิริยา การเติมสารบางชนิดปริมาณเล็กน้อยลงในปฏิกิริยาแล้วทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น เราเรียกสารนั้นว่า “ตัวเร่งปฏิกิริยา

เช่น

การสลายตัวของสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ให้น้ำและแก๊สออกซิเจน
แสดงดังสมการ (4)
แต่ถ้าเติมโพแทสเซียมไอโอไดด์ลงไปเล็กน้อย จะทำให้เกิดปฏิกิริยาได้อย่างรวดเร็ว

โดยตัวเร่งปฏิกิริยาจะเข้ารวมตัวกับสารตั้งต้นเกิดเป็นสารเชิงซ้อนก่อกัมมันต์ที่มีพลังงานกระตุ้นต่ำกว่าเดิม ดังรูปที่ 2 จึงทำให้อนุภาคที่ชนกันแล้วมีพลังงานมากกว่าพลังงานก่อกัมมันต์มีมาก จึงทำให้เกิดปฏิกิริยาได้เร็วขึ้น โดยเมื่อเสร็จสิ้นปฏิกิริยาตัวเร่งปฏิกิริยาจะกลับคืนมาด้วยปริมาณเท่าเดิม 

ในทางตรงกันข้าม บางกรณีเราเติมสารบางชนิดปริมาณเล็กน้อยลงในปฏิกิริยา เพื่อทำให้ปฏิกิริยาเกิดช้าลง เราเรียกสารนั้นว่า “ตัวหน่วงปฏิกิริยา

เช่น

การเติมผงโซเดียมฟลูออไรด์ลงผสมกับเปลือกไข่ แล้วเติมกรดอะซีติก จะทำให้อัตราการทำปฏิกิริยาของเปลือกไข่กับกรดอะซีติกช้าลง
แสดงดังสมการ (5)

รูปที่ 2 ผลของตัวเร่งปฏิกิริยาต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี